แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 36
1
ดูแลฟันให้สวยได้ตั้งแต่เด็กด้วยการจัดฟันเด็ก EF Line

การดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟัน ตั้งแต่ในวัยเด็กนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญและจะต้องเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันโรคฟันผุ ซึ่งโรคฟันผุนั้นเป็นโรคติดเชื้อที่เกี่ยวกับปัจจัยหลักอันได้แก่ เชื้อแบคทีเรียในคราบจุลินทรีย์ อาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล ซึ่งตรวจฟันที่เสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ คือสารที่มีหลุมร่องลึก ฟันที่เรียงตัวชิดกัน ฟันที่มีโครงสร้างผิวเคลือบฟันที่ไม่แข็งแรง โดยกระบวนการฟันเริ่มมาจากการรับประทานอาหารจำพวกแป้งน้ำตาล เชื้อแบคทีเรียที่จะกรดออกมาทำให้ช่องปากของเด็กเปลี่ยนสภาพเป็นกรด ซึ่งกรดนี้ทำให้เกิดการละลายแร่ธาตุจากเคลือบฟันออกไป

ซึ่งหากลูกน้อยหรือเด็กๆ รับประทานอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลบ่อย ก็จะทำให้เคลือบฟันถูกละลายอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผิวเคลือบฟันแตกออกจนเกิดเป็นดูให้เห็นเป็นรอยฟันผุ เพราะฉะนั้นการดูแลให้เด็กรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดฟันผุ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองจะช่วยบุตรหลานของท่านได้ ควรจัดอาหารที่มีรสธรรมชาติและไม่เติมน้ำตาลเพิ่ม และให้รับประทานอาหารมื้อหลักและอาหารว่างให้เป็นเวลา หลีกเลี่ยงการรับประทานขนม ลูกอม ช็อกโกแลต หรืออาหารที่เหนียวติดฟันระหว่างมื้ออาหาร เนื่องจากทุกครั้งที่เด็กรับประทานอาหารที่มีรสหวาน เชื้อโรคในช่องปากจะย่อยน้ำตาลแล้วนั้นทำให้ช่องปากของเราเปลี่ยนสภาพเป็นกรดและทำลายแร่ธาตุจากผิวเคลือบฟัน

สำหรับสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กนั้น เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญผู้ปกครองป้องกันไม่ให้เด็กได้รับเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดฟันผุ นอกจากนี้ในวัยเด็กที่มีโครงสร้างใบหน้าที่ผิดปก ติอาจจะส่งผลเกี่ยวกับสุขภาพฟันทำให้ฟันเรียงตัวกันไม่สวยงาม และมีปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วย EF LINE ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือที่สามารถแก้ไขปัญหาการทำงานของกล้ามเนื้อที่มีความผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่าง ซึ่งEF LINE นั้นสามารถทำได้ตั้งแต่เด็กอายุ 4-15 ปี โดยใช้เครื่องมือในกลุ่มนี้สามารถแก้ไขปัญหาได้หลายกรณีและมีความแตกต่างกันไปเช่ นปัญหารูปหน้าที่มีคางผิดปกติ คางเบี้ยวกระดูกและฟันบนยื่น

ซึ่งส่งผลให้มีสภาพฟันที่ไม่สวยงาม ด้วยเหตุนี้เองความผิดปกติที่ได้กล่าวมานั้น ในกรณีที่ไม่ทราบว่าบุตรหลานของท่านมีความผิดปกติใดๆแฝงอยู่หรือไม่ ท่านสามารถพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาแพทย์ที่ผ่านการอบรมการใช้งานเครื่องมือดังกล่าว ซึ่งต้องถือว่า EF LINE เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการ ดูดนิ้วจนทำให้ฟันห่าง ฟันยื่น ฟันเรียงตัวกันไม่สวยงาม ทำให้ฟันสบเปิดหรือปัญหาการกัดเล็บ กัดริมฝีปาก เด็กที่มีอาการเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยโปรแกรม EF LINE รวมไปถึงเด็กที่มีอาการนอนกรน นอนกัดฟันทำให้ปวดขากรรไกร

ซึ่งประโยชน์ของ EF LINE นั้นจะช่วยให้บุตรหลานของท่านมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม แก้ไขปัญหาฟันห่าง ฟันยืดและการสบฟัน ช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องของการนอนกัดฟัน นอนกรนในเด็ก เนื่องจาก EF LINE เป็นกระบวนการจัดฟันรูปแบบใหม่ โดยอาศัยแรงจากกล้ามเนื้อทำให้เกิดการปรับโครงสร้างกระดูกใบหน้าและให้มีการเวียนตัวของฝันที่สวยงามมากยิ่งขึ้นโดยเด็กเด็กสามารถเพลิดเพลินกับการใช้เครื่องมือการจัดฟันและยังมีราคาที่ไม่แพงด้วย

อย่างไรก็ตามอีเอส LINE นั้นไม่แม้แต่เป็นเครื่องมือทำไมทางด้านทันตกรรมแต่ยังสามารถแก้ไขปัญหาในเด็กบางรายที่มีความเคยชินบางอย่าง เช่น ดูดนิ้ว แกะเล็บ กัดริมฝีปากหายใจทางปากเป็นประจำ ซึ่งนิสัยเหล่านี้จะมีผลต่อการเรียงตัวของฟันหรืออาจจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของใบหน้าและขากรรไกรที่ผิดปกติทำให้ต้องเข้ารับการจัดฟันเร็วขึ้นเพื่อป้องกันและแก้ไขความผิดปกติเหล่านี้ไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคต หากผู้ปกครองหรือพ่อแม่มีความสนใจที่จะให้บุตรหลานของท่านเข้ารับการรักษาการจัดฟันในโปรแกรม EF LINE สามารถติดต่อหรือขอคำแนะนำจากทางคลินิก

ซึ่งทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของทางด้านทันตกรรม ไม่ว่าจะเป็นทันตกรรมรากฟันเทียม ทันตกรรมในเด็ก และการจัดฟันและยังมีการบริการทางด้านทันตกรรมอีกหลากหลาย ซึ่งการันตีด้วยผลงานและประสบการณ์อย่างยาวนานจึงทำให้มั่นใจได้ว่าบุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีและเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นได้อย่างแน่นอน

2
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: มะเร็งกระดูก (Bone cancer)

มะเร็งกระดูก ในที่นี้หมายถึงมะเร็งที่เกิดขึ้นจากเนื้อเยื่อของกระดูกเอง (ไม่หมายรวมถึงมะเร็งที่แพร่มาจากอวัยวะอื่น) เป็นมะเร็งที่พบได้น้อย (พบได้น้อยกว่าร้อยละ 1 ของมะเร็งทั้งหมด และมะเร็งกระดูกในเด็กพบได้ร้อยละ 3-5 ของมะเร็งที่พบในเด็กทั้งหมด) พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย

มะเร็งกระดูกมีอยู่หลายชนิด ส่วนใหญ่เป็นมะเร็งเซลล์กระดูก (osteosarcoma) ซึ่งพบมากในเด็กและวัยหนุ่มสาว โดยเฉพาะช่วงอายุ 10-20 ปี ส่วนน้อยเป็นมะเร็งเซลล์กระดูกอ่อน (chrondosarcoma) ซึ่งพบในคนอายุมากกว่า 50 ปี นอกนั้นอาจพบมะเร็งของเซลล์ชนิดอื่น ๆ


สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่

    ความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ พบว่าผู้ที่เป็นโรคกรรมพันธุ์บางชนิด เช่น Li-Fraumeni syndrome, มะเร็งลูกตาในเด็ก (retinoblastoma) เป็นต้น มีโอกาสเป็นมะเร็งกระดูกมากขึ้น
    โรคกระดูกบางชนิด เช่น โรคพาเจตของกระดูก (Paget's disease of bone เป็นภาวะผิดปกติของเนื้อเยื่อกระดูก ทำให้กระดูกหนา และเปราะแตกหักง่าย) ซึ่งพบในคนอายุมากกว่า 50 ปี พบว่าผู้ที่เป็นโรคนี้มีโอกาสเป็นมะเร็งเซลล์กระดูก (osteosarcoma) ประมาณร้อยละ 1
    การมีประวัติเคยได้รับการฉายรังสีรักษามะเร็งชนิดอื่นมาก่อน

อาการ

อาการแรกเริ่ม คืออาการปวดกระดูกตอนกลางคืน หรือตอนมีการใช้งานของแขนขา ซึ่งมักจะเป็นอย่างต่อเนื่อง ต่อมาจะพบว่ามีก้อนแข็งหรือปุ่มยื่นออกมาจากกระดูก ส่วนใหญ่พบที่กระดูกขา (บริเวณรอบ ๆ เข่า) และกระดูกแขน ส่วนน้อยพบที่บริเวณอื่น

บางรายอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการกระดูกแตกหรือหักจากการกระทบกระแทกเล็กน้อย จนเข้าใจผิดว่าเป็นกระดูกแตกหักจากอุบัติเหตุทั่วไป หากไม่ได้รับการรักษา มะเร็งเซลล์กระดูกอาจแพร่กระจายไปที่ปอด ทำให้มีอาการหอบเหนื่อย


ภาวะแทรกซ้อน

ทำให้มีอาการเจ็บปวด กระดูกหัก ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง

มะเร็งแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปที่อวัยวะอื่น ที่พบบ่อยคือไปที่ปอด ทำให้มีอาการเจ็บหน้าอก ไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด ภาวะมีน้ำหรือเลือดในช่องเยื่อหุ้มปอด หายใจลำบาก


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยโดยการเอกซเรย์ สแกนกระดูก และตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ

หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน- PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัดเป็นหลัก ถ้ามะเร็งมีขนาดเล็กจะทำการผ่าตัดกระดูกเฉพาะส่วนที่เป็นมะเร็งออกไป แล้วนำเนื้อเยื่อกระดูกปกติหรือกระดูกเทียมมาใส่แทน แต่ถ้ามะเร็งมีขนาดใหญ่ก็จำเป็นต้องตัดแขนหรือขาที่เป็นมะเร็งออกไป แล้วใส่แขนหรือขาเทียม

แพทย์อาจทำการผ่าตัดเพียงอย่างเดียว หรือทำการผ่าตัดร่วมกับเคมีบำบัด และ/หรือรังสีบำบัด ตามชนิดและระยะของโรค

สำหรับมะเร็งเซลล์กระดูก (osteosarcoma) แพทย์จะทำการรักษาด้วยการผ่าตัด และให้เคมีบำบัดก่อนและหลังการผ่าตัด ช่วยให้การผ่าตัดมีประสิทธิภาพ และป้องกันไม่ให้มะเร็งกลับมากำเริบใหม่ ส่วนรังสีบำบัดแพทย์จะเลือกใช้ในบางกรณี

สำหรับมะเร็งเซลล์กระดูกอ่อน (chrondosarcoma) แพทย์จะรักษาด้วยการผ่าตัด อาจใช้รังสีบำบัดก่อนและหลังผ่าตัด มักจะไม่ใช้เคมีบำบัด เนื่องเพราะใช้ไม่ได้ผลในการรักษามะเร็งชนิดนี้เป็นส่วนใหญ่ ในรายที่ผ่าตัดไม่ได้แพทย์จะรักษาด้วยใช้รังสีบำบัดเป็นหลัก

ผลการรักษาขึ้นกับชนิดและระยะของโรค

ในรายที่เป็นมะเร็งเซลล์กระดูก (ซึ่งพบในเด็กและวัยหนุ่มสาว) ระยะที่ยังไม่ลุกลาม มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 60-80 แต่ถ้ากระจายผ่านกระแสเลือดไปที่อวัยวะอื่น (พบบ่อยที่ปอด) มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 15-30

ส่วนรายที่เป็นมะเร็งเซลล์กระดูกอ่อน (ซึ่งพบในคนอายุมากกว่า 50 ปี) ส่วนใหญ่มักจะลุกลามช้าและไม่แพร่กระจายไปที่อื่น ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดด้วยการผ่าตัดได้ มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 80


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดกระดูกนานเป็นสัปดาห์โดยไม่ทราบสาเหตุ, มีก้อนแข็งหรือปุ่มยื่นออกมาจากกระดูก ที่กระดูกแขนขาหรือที่อื่น เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งกระดูก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด จึงยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล


ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่มีอาการปวดกระดูกเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด

2. ผู้ป่วยมะเร็งกระดูกบางรายอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการกระดูกแตกหรือหักจากการกระทบกระแทกเล็กน้อย จนเข้าใจผิดว่าเป็นกระดูกแตกหักจากอุบัติเหตุทั่วไป หากสงสัยควรทำการตรวจเพิ่มเติมให้แน่ชัด

3. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

3
คำถามที่พบบ่อยใน รถกระบะรับจ้างขนของ

ในการให้บริการ รถรับจ้าง ในสมัยนี้ลูกค้าจะมีการสอบถามข้อมูลรายละเอียดกับรถรับจ้างขนของ ด้วยคำถามต่างๆเพื่อขอข้อมูลที่จะนำไปประกอบการตัดสินใจในการว่าจ้าง เราจึงรวบรวม 5 คำถามเด็ดๆ ที่ทุกคนชอบถามมาอยู่บ่อยๆ นี่คือบางคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรถรับจ้าง:

    ค่าบริการของรถรับจ้างคิดอย่างไร?
    รถรับจ้างมีประเภทหรือขนาดใดบ้างที่สามารถเลือกใช้ได้?
    มีวิธีการจองรถรับจ้างอย่างไร?
    ราคาค่าเดินทางในเมืองและนอกระบบอย่างไร?
    มีเวลาที่กำหนดหรือระยะทางสูงสุดที่รถรับจ้างสามารถให้บริการได้ไหม?

   
ค่าบริการของรถรับจ้างคิดอย่างไร?

ค่าบริการของรถรับจ้าง จะคำนวณตามหลักการทั่วไป โดยบริษัทรับจ้างจะพิจารณาหลายปัจจัย เช่น ระยะทางที่ต้องเดินทาง ประเภทและขนาดของรถที่ต้องการ ใช้ รถกระบะรับจ้าง รถหกล้อรับจ้าง รถขนของย้ายบ้าน รถ10ล้อรับจ้าง รถรับจ้างย้ายหอ รถ4ล้อรับจ้าง เป็นต้น ระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทาง และเวลาในการรับ-ส่ง รวมถึงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้น เช่น ค่าทางด่วน ค่าจอดรถ เป็นต้น โดยปกติแล้ว บริษัทรับจ้างจะมีอัตราค่าบริการที่กำหนดไว้ตามมาตรฐานอย่างชัดเจน เช่น ราคาเริ่มต้นที่ 800 บาท สำหรับรถกระบะ และ เริ่มต้นที่ 2000 บาท สำหรับ รถหกล้อรับจ้าง เป็นต้น

   
รถรับจ้างมีประเภทหรือขนาดใดบ้างที่สามารถเลือกใช้ได้?

รถรับจ้างมีหลากหลายประเภทและขนาดที่สามารถเลือกใช้ได้ ตั้งแต่รถกระบะขนของตอนเดียว ขนาดเล็กจนถึง รถ6ล้อรับจ้าง รถ10ล้อรับจ้าง รถขนของย้ายบ้าน ขนาดใหญ่ ซึ่งคุณสามารถเลือกตามความต้องการของคุณเอง เช่น จำนวนผู้โดยสารที่ต้องการร่วมเดินทาง ปริมาณของกระเป๋า สินค้าที่ต้องการขนย้ายที่ต้องพกพา หรือความสะดวกในการเดินทาง เป็นต้น


มีวิธีการจองรถรับจ้างอย่างไร?

วิธีการจองรถรับจ้าง สามารถแตกต่างกันไปตามบริษัทรับจ้างและบริษัทรับจ้างที่คุณติดต่อ โดยทั่วไปแล้ว จะมีหลายวิธีที่สามารถใช้ใน การจองรถรับจ้าง สำหรับขนส่ง จะมีขั้นตอนการให้บริการคร่าวๆดังนี้

    เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน : บริษัทรถรับจ้าง มีเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ที่คุณสามารถใช้ในการจองรถรับจ้างได้ คุณสามารถเลือกประเภทรถที่คุณต้องการและกรอกข้อมูลเพิ่มเติม เช่น สถานที่รับ-ส่ง วันเวลาที่ต้องการใช้บริการ และรายละเอียดอื่น ๆ ตามที่ระบุไว้ในแพลตฟอร์ม จากนั้นคุณจะได้รับยืนยันการจองและรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางของคุณ
    โทรศัพท์ : คุณสามารถโทรหารถรับจ้างที่คุณสนใจและทำการจองรถรับจ้างผ่านทางโทรศัพท์ได้ เมื่อคุณติดต่อกับเจ้าหน้าที่บริการลูกค้า คุณจะต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทาง เช่น สถานที่รับ-ส่ง วันเวลา และประเภทรถที่คุณต้องการ พวกเขาจะทำการจองให้คุณและแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมหรือโทร
    การเดินทางมาที่ออฟฟิครถรับจ้าง : บางครั้งคุณสามารถไปยังออฟฟิคสำนักงาน รถรับจ้าง ใกล้คุณ หรือสถานที่ต่าง ๆ เพื่อทำการจองรถรับจ้างได้ ที่นี่คุณจะพบเจ้าหน้าที่บริการลูกค้าที่จะช่วยคุณในการจัดคิวรถขนของรอบและรับคำสั่งการจองรถรับจ้างตามความต้องการของคุณ
    สนามบินหรือสถานที่ท่องเที่ยว : หากคุณต้องการใช้บริการรถรับจ้างในการเดินทางจากสนามบินหรือสถานที่ท่องเที่ยว คุณสามารถติดต่อบริษัทรับจ้างที่มีบริการในพื้นที่นั้นๆ โดยตรงหรือผ่านทางเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ระบุว่ามีบริการรับ-ส่งจากสนามบินหรือสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านั้น หรือ สอบถามมาที่ ขนส่งเรามี รถรับจ้างขนของ ที่คอยให้บริการได้ในทุกๆวัน
    เวลาที่ต้องการจอง : หากคุณทราบวันและเวลาที่คุณต้องการใช้บริการรถรับจ้างล่วงหน้า คุณสามารถติดต่อบริษัทรถรับจ้างและ ทำการจองรถรับจ้างล่วงหน้าได้ นี่เป็นวิธีที่ดีในการรับรองว่าคุณจะได้รถที่ต้องการและมีบริการพร้อมในเวลาที่คุณต้องการ
    ระยะทางและสถานที่รับ-ส่ง : คุณควรแจ้งระยะทางที่คุณต้องการเดินทาง รวมถึงสถานที่รับและส่ง โดยการระบุที่อยู่และประเภทของสถานที่ เช่น ที่บ้าน โรงแรม หรือสถานที่ท่องเที่ยว นี้จะช่วยให้บริษัทรับจ้างเตรียมรถและนำทางได้อย่างถูกต้อง
    จำนวนผู้โดยสารและขนาดรถ : คุณควรระบุจำนวนผู้โดยสารที่จะเดินทางกับคุณ เพื่อให้บริษัทรับจ้างสามารถเลือกใช้รถที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณได้ รถรับจ้าง มีขนาดและความจุที่แตกต่างกัน เช่น รถกระบะรับจ้าง รถหกล้อรับจ้าง เป็นต้น
    เวลาที่สามารถให้บริการได้ : บางบริษัทรับจ้างมีเวลาที่กำหนดหรือระยะเวลาสูงสุดในการให้บริการรถรับจ้าง เช่น บางบริษัทอาจมีเวลาทำการให้บริการระหว่าง 6 โมงเช้าถึง 10 โมงคืน เป็นต้น คุณควรตรวจสอบเวลาให้บริการของบริษัทรับจ้างและตรงตามความต้องการของคุณ แต่สำหรับ ขนส่งเราให้บริการตลอด 24 ชม. ไม่มีวันหยุด

โปรดทราบว่าคำถามและวิธีการจองรถรับจ้างอาจแตกต่างกันไปตามบริษัทและท้องถิ่น ดังนั้น ควรติดต่อกับบริษัทรับจ้างที่คุณสนใจเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมและแนะนำในการจองรถรับจ้าง


ระยะทางสูงสุดที่รถรับจ้างสามารถเดินทางได้คือเท่าใด?

ระยะทางสูงสุดที่รถรับจ้างสามารถเดินทางได้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประสิทธิภาพของรถ ประเภทและขนาดของรถ ระยะทางที่ต้องเดินทาง และเวลาที่ใช้ในการเดินทาง บางบริษัทรถรับจ้างขนของอาจมีข้อจำกัดเกี่ยวกับระยะทางสูงสุดที่เป็นไปได้ ดังนั้น ควรติดต่อกับบริษัทรับจ้างเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับระยะทางที่สามารถเดินทางได้
แต่ ขนส่งเราให้บริการ รถรับจ้างขนของ ทุกชนิด วิ่งไปได้ทั่วไทย ไม่มีจำกัดพื้นที่และสามารถรับจ้างขนของได้ทุกงาน ทุกวัน ให้คุณวางแผนการขนย้ายของได้เป็นอย่างดีที่สุด และนี่คือ คำถามที่พบบ่อยใน รถรับจ้าง ในปัจจุบัน

4
จัดฟันเด็ก อันตรายหรือไม่

ในเรื่องของสุขาพช่องปากและฟันของเด็ก เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องคอยสังเกตและให้คำแนะนำถึงวิธีการทำความสะอาดช่องปากและหันอย่างถูกวิธี เพราะเด็กส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องของฟันผุ เนื่องจากได้รับการทำความสะอาดช่องปากและฟันที่ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น การทำควมาสะอาดช่องปากและฟันของเด็ก พ่อแม่อย่าคิดว่าไม่สำคัญ ถึงแม้ว่าบุตรหลานของท่านจะอยู่ในวัยของฟันน้ำนม เพราะถ้าหากดุแลฟันน้ำนมไม่ดี อาจจะทำให้ส่งผลต่อการขึ้นของฟันแท้ได้ ซึ่งเมื่อฟันแท้ขึ้นแบบผิดปกติ อาจจะส่งผลระยะยาวเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันได้ เพราะการที่เรามีปัญหาในเรื่องของการเรียงตัวของฟัน อาจจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของลูก เพราะจะทำให้เด็กไม่สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กและอาจจะส่งผลต่อสุขภาพช่องปากเด็กด้วย

และถ้าหากบุตรหลานของ่ทานมีปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน หรือมีความผิดปกติ พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อแก้ไขปัญหาที่มีความผิดปกติของฟันได้ ตั้งแต่ยังมีฟันน้ำนมเลย ส่วนใหญ่พ่อแม่ที่ตัดสินใจจะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับกการจัดฟันในเด็ก อาจจะมีความกังวลว่า บุตรหลานของท่านจะได้รับอันตรายหรือไม่ ต้องบอกก่อนว่า ความผิดปกติของฟันที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่มาจาก ลักษณะนิสัยที่มีความผิดปกติในการบดเคี้ยว เช่น เคี้ยวข้าวข้างเดียวตลอดเวลา หรือ บางกรณีก็จะเป็นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพของร่างกาย การเจริญเติบโตที่ผิดปกติของขากรรไกร โดยการจัดฟันก็จะช่วย ทำให้ฟันนั้นมีความสวยงามเป็นระเบียบ พร้อมกับทำให้ฟันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยและวันนี้เราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็กว่า มีอันตรายต่อเด็กหรือไม่ และต้องปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อให้เด็กได้รับการรักษาที่มีความปลอดภัย

ก่อนอื่นเราจะอธิบายก่อนว่า การจัดฟัน เป็นหนึ่งในประเภทการรักษาฟันที่ได้รับความนิยมาก โดยใช้หลักการในการรักษาด้วยการเคลื่อนฟันไปยังตําแหน่งที่เหมาะสม โดยอาศัยเครื่องมือการจัดฟัน ซึ่งการจัดฟันในแต่ละแบบนั้น ก็จะมีความแตกต่างกัน ซึ่งทันตแพทย์จะพิจารณาให้อย่างเหมาะสม แต่สำหรับการจัดฟันในเด็ก ก็ไม่ต่างจากการจัดฟันของผู้ใหญ่มาก เพราะใช้หลักการเดียวกัน คือมีการติดตั้งเครื่องใอเข้าไปในช่องปาก โดบเครื่องมือการจัดฟันจะเป็นตัวช่วยในการเคลื่อนฟันไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม ทำให้เกิดการเรียงตัวของฟันที่สวยงาม

สำหรับเด็กที่มีปัญหาฟันซ้อนเก หรือมีการสบฟันที่ผิดปกติ เครื่องมือจัดฟันก็จะทำให้ฟันที่มีคาวมผิดปกติเคลื่อนไปในที่ที่เหมาะสมเหมือนกัน ดังนั้น การจัดฟันในเด็ก จึงไม่มีอันตราย และไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกายของเด็ก มีแต่จะส่งผลดีต่อสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ทั้งยังช่วยเสริมสร้างในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ดังนั้น ก่อนที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะตัดสินใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ควรที่จะศึกษารายละเอียดและข้อมูลให้ดี เพื่อให้บุตรหลานของท่านได้รับการรักษาที่มีความปลอดภัย มีความน่าเชื่อถือและผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีคุณภาพที่ชีวิตที่ดี เพราะการที่เรามีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีนั้น นอกจากจะดีต่อสุขภาพแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างในเรื่องของบุคลิกภาพ ให้เด็กมีความมั่นใจ กล้าแสดงออก ไม่ต้องโดนเพื่อนล้อด้วย

อย่างไรก็ตาม หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดอยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการรักษาได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันในเด็ก และมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน ที่จะคอยให้คำแนะนำและวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกต้อง เพื่อให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้มีพัฒนาการที่ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

5
รถรับจ้างราคาถูก สมุทรปราการ 4-6-10ล้อ บริการแพ็คของก่อนขนย้ายหอ บ้าน ให้คุณง่ายๆ

แพ็คของยังไงก่อนขนย้ายให้ปลอดภัยที่สุด

วันนี้เราจะมาให้ข้อมูลข่าวสารดีๆที่มีประโยชน์แก่คุณทุกคนที่กำลังมองหาการเรียกใช้บริการ รถรับจ้างขนของจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ในขณะนี้ เพราะนี่จะเป็นการเอาข้อมูลจากผู้ใช้งานจริง ขนย้ายจริง แพ็คของจริงๆ มาแชร์ให้คุณทุกคนที่จะทำให้การขนย้ายของ ย้ายหอสมุทรปราการ ย้ายบ้านสมุทรปราการ ขนย้ายสินค้าเป็นเรื่องง่ายในทันที เพราะการแพ็กสินค้าประเภทต่างๆ มีวิธีการที่แตกต่างกัน ไม่ซ้ำกันแล้วแต่เทคนิคของใครของมัน เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าจะไม่เสียหายระหว่างการขนส่ง นี่คือวิธีการแพ็คของสินค้าประเภทต่างๆที่เรานำมาแชร์ให้คุณทราบ :

   
ตู้เย็น

หากเราต้องการจะ ขนย้ายหอพักสมุทรปราการ ขนย้ายบ้านสมุทรปราการ การแพ็คตู้เย็นต้องคำนึงถึงการป้องกันการเสียหายทั้งภายในและภายนอก คอมเพรสเซอร์ การตั้งหรือนอนในระหว่างขนย้าย การป้องกันความเสียหายจากการเคลื่อนย้าย จะต้องดูแลแบบนี้

    ทำความสะอาด : การแพ็กตู้เย็น ควรทำความสะอาดภายในและภายนอกให้ให้ดีที่สุดและปล่อยให้แห้งก่อนปิดฝาตู้เย็นด้วย เพื่อป้องกันการเกิดกลิ่นเหม็นและเชื้อรา
    ถอดชั้นวางและแยกใส่กล่อง : ชั้นวางของและชิ้นส่วนที่สามารถถอดได้ ควรถอดออกจากกันและแยกในกล่องให้ดีเพื่อป้องกันการกระแทกและแตกหักในช่วงที่มีการขนย้ายตู้
    พันพลาสติก ฟิล์มหดให้แน่น : ห่อตู้เย็นทั้งหมดด้วยพลาสติกหลายชั้นเพื่อป้องกันการการเปิดปิดและกระแทกรอยขีดข่วน ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนของย้าย
    ใช้แผ่นโฟมรองด้านข้างและมุม : ใส่แผ่นโฟมที่มุมและด้านข้างของตู้เย็นเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและลดการเสียหายจากการกระแทก
    บรรจุในกล่อง : เลือกกล่องที่มีความแข็งแรงเพียงพอ เพื่อลดความเสี่ยงที่ตู้เย็นจะได้รับความเสียหายในช่วงที่เราขนย้ายของนั่นเอง

   
ทีวี โทรทัศน์

    ใช้ผ้า : ห่อจอทีวีด้วยผ้าที่หนาหรือผ้านวมก็ได้ เพื่อป้องกันรอยขีดข่วนและฝุ่นที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่ง
    พันด้วยพลาสติกหลายชั้น : ห่อตัวเครื่องทีวีทั้งหมดด้วยพลาสติกหลายชั้นป้องกันการกระแทก
    แผ่นโฟมรองมุมและด้านข้าง : ใส่แผ่นโฟมที่มุมและด้านข้างของทีวีเพื่อความแข็งแรงและลดการกระแทกแรงๆได้
    กล่องทีวี : ซึ่งเขาจะมีแผ่นโฟมรองรับทีวีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพื่อป้องกันการกระแทกเพิ่มเติมด้วยนั่นเอง

   
ถ้วยจาน

การแพ็กถ้วยจานต้องเน้นการป้องกันแตกและการกระแทก เพราะถ้วยจานนั้นแตกง่ายมากจึงต้องระวังมากเป็นพิเศษ เรามีวิธีง่ายๆมาฝากคุณ

    ห่อถ้วยจานด้วยกระดาษ : ห่อถ้วยจานด้วยกระดาษ จะป้องกันการกระแทกได้ดีมากและลดการเสียดสีระหว่างถ้วยจานในแต่ละใบ
    หากล่องที่มีช่องแยกถ้วยจานแต่ละใบ : ใช้กล่องที่มีการแยกช่องหรือใช้ตัวกันชนระหว่างถ้วยจานเพื่อป้องกันการกระแทกและการแตกร้าว
    แผ่นกันกระแทกด้านบนและด้านล่าง: ใส่แผ่นกันกระแทกที่ด้านบนและด้านล่างของกล่อง


รถกระบะรับจ้างย้ายหอ
   
เฟอร์นิเจอร์

การแพ็กเฟอร์นิเจอร์ต้องคำนึงถึงการป้องกันรอยขีดข่วน ฉีกขาดของผ้าคลุมเบาะ และการยกของที่ระมัดระวังจึงมีวิธีจัดการดังนี้

    ถอดประกอบ : การถอดชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์เพื่อลดขนาดและป้องกันการแตกหักและการขนย้ายที่ง่าย สามารถใส่รถรับจ้างขนของที่มีขนาดที่จำกัดได้ง่าย ระหว่างการขนส่ง ซึ่งรถที่มีความเหมาะสมในการขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ส่วนมากจะเป็น รถกระบะรับจ้างจังหวัดสมุทรปราการ และ รถ6ล้อรับจ้างสมุทรปราการ เพราะมีพื้นที่ที่เพียงพอในการขนย้ายได้เป็นอย่างดี แยกชิ้นส่วนแต่ละชิ้นใส่กล่องหรือห่อด้วยพลาสติกห่อฟองอากาศ
    ฟิล์มหดรัด เพื่อความแน่นหนา : ห่อชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดด้วยพลาสติกโดยพันรัดให้แน่นจะกันฝุ่นและการกดกระแทกได้ ก่อนยกขึ้น รถขนของ
    แผ่นโฟมรองมุมและด้านข้าง: ใส่แผ่นโฟมที่มุมและด้านข้างของเฟอร์นิเจอร์เพื่อเสริมความแข็งแรงและลดการเสียหายจากการกระแทก

   
เสื้อผ้า

การแพ็กของเสื้อผ้าต้องคำนึงถึงการป้องกันฝุ่น สกปรก ความชื้น เราจึงมีวิธีในการแพ็คเสื้อผ้าอย่างถูกวิธีคือ

    ใส่ถุงพลาสติกป้องกันฝุ่น: เราจะพับเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและใส่ในถุงพลาสติก เพื่อป้องกันฝุ่นละอองในการขนย้ายของ เช่นการ ขนย้ายบ้านสมุทรปราการ ย้ายหอพักสมุทรปราการ ขนย้ายคอนโดสมุทรปราการ ซึ่งพื้นที่เหล่านี้จะมีฝุ่นมากพอสมควร และความชื้น ถุงพลาสติกยังช่วยป้องกันการเปื้อนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนของ
    ใส่ในกล่อง : สำหรับเสื้อผ้าที่ไม่ต้องการให้ยับ เช่น สูทหรือเสื้อโค้ท ควรใส่ในกล่องที่ ทำให้เสื้อผ้าไม่ยับและรักษารูปทรงได้ดี
    ใส่ซองกันชื้น : ใส่ซองกันชื้นในกล่องเสื้อผ้าจะป้องกันไม่ให้เสื้อผ้ามีกลิ่นอับ

   
ตู้กระจก

การแพ็กตู้กระจกต้องคำนึงถึงการป้องกันการแตก เรามีขั้นตอนง่ายๆคือ

    ถอดกระจกและห่อด้วยพลาสติก : ถอดกระจกออกจากตู้และห่อด้วยพลาสติกหลายชั้นเพื่อป้องกันการแตกหัก
    ใช้แผ่นโฟมรองมุมและด้านข้าง : ใส่แผ่นโฟมที่มุมและด้านข้างของกระจกเพื่อเสริมความแข็งแรงและลดการเสียหายจากการกระแทกที่มุม ซึ่งเป็นส่วนที่เปราะบางที่สุด
    ใส่ในกล่องที่มีการเสริมความแข็งแรง : ใช้กล่องที่ออกแบบมาสำหรับขนส่งกระจก โดยมีการเสริมความแข็งแรงที่ด้านในกล่องเพื่อป้องกันการกระแทกจากภายนอก

   
สอบถามขั้นตอนในการแพ็คสินค้าง่ายๆ และบริการแพ็คของให้

สำหรับท่านใดที่ไม่ต้องการจัดเก็บสินค้า ไม่ต้องการแพ็คของด้วยตัวเองเวลาที่คุณต้องการจะ ขนย้ายของจากบ้าน ขนย้ายบ้านสมุทรปราการ ขนย้ายหอพักสมุทรปราการ ขนย้ายคอนโดสมุทรปราการ ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์สมุทรปราการ และ อื่นๆ เรามีคนที่คอยมาช่วยบริการ รับจ้างขนของ ให้กับคุณอย่างโดยง่ายที่สุด มีความปลอดภัยและไว้ใจได้เป็นอย่างมากกว่าเจ้าอื่นๆแน่นอน เพราะ ขนส่งของเรามีประสบการณ์มากในการ รับจ้างขนของวสมุทรปราการ อย่างยาวนาน เช่น เรามีรถ

    รถกระบะรับจ้างจังหวัดสมุทรปราการ
    รถ4ล้อรับจ้างจังหวัดสมุทรปราการ
    รถ6ล้อรับจ้างจังหวัดสมุทรปราการ
    รถ10ล้อรับจ้างจังหวัดสมุทรปราการ
    รถเฮี๊ยบรับจ้างจังหวัดสมุทรปราการ
    รถเทรลเลอร์รับจ้างจังหวัดสมุทรปราการ
    รถรับจ้างขนของทั่วไปจังหวัดสมุทรปราการ

รถขนของย้ายบ้าน ไปต่างจังหวัด

6
บริการด้านอาหาร: แกงเลียงกุ้งสด เมนูเพื่อสุขภาพ ลดไขมันในเลือด
 
การรับประทานอาหาร เป็นตัวบ่งชี้ถึงสุขภาพร่างกายของเราได้ ถ้าหากเรารับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อาหารเพื่อสุขภาพ แน่นอนว่า ก็จะทำให้เรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง แต่ถ้าหากเรามีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ผิด ก็จะส่งผลต่อร่างกายของเรา ทำให้เราเจ็บป่วยและมีโรคภัยไข้เจ็บได้ ดังนั้น การที่เราจะมีสุขภาพร่างกายที่ดีได้นั้น
เราจะต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และต้องหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อให้ร่างกายได้สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ต้องบอกเลยว่า ในปัจจุบันอาหารเพื่อสุขภาพนั้น ได้รับความสนใจอย่างมากเนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ หันมาใส่ใจในสุขภาพของตนเองมากขึ้น และปัจจุบันอาหารเพื่อสุขภาพเปรียบเสมือนยาอย่างหนึ่ง เป็นอาหารที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย นอกเหนือจากสารอาหารหลักที่จำเป็นต่อร่างกาย

นอกจากนี้ อาจช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อโรคต่างๆ และที่สำคัญคือการรับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะจะช่วยให้เรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ซึ่งถ้าหากเรารับประทานอาหารอย่างถูกวิธีและเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็จะช่วยทำให้เรามีสุขภาพร่างกายที่ดีตามไปด้วย เพราะคนส่วนใหญ่ที่มีโรคประจำตัว


ส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมการรับปรทานอาหารที่ผิด เช่น เป็นโรคเบาหวาน ความดัน หรือไขมันในเลือดสูง ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มโรคยอดฮิตของคนไทยเลยก็ว่าได้ ดังนั้น วันนี้เราจะมาแนะนำเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ ที่ได้คุณค่าทางสารอาหารแบบเต็มๆ นั่นก็คือ เมนูแกงเลียงกุ้งสด ที่มีผักและสมุนไพรหลายชนิดเป็นส่วนประกอบ เรียกได้ว่าได้คุณค่าทางสารอาหารอย่างครบถ้วนเลยทีเดียว

 
สำหรับวัตถุดิบของเมนูอาหารนี้ก็คือ พริกขี้หนูสวน หอมแดง กระชาย พริกไทยขาว กะปิเคย น้ำปลา กุ้งสด เปลือกกุ้งที่แกะ จากการล้างกุ้ง ข้าวโพดอ่อน น้ำเต้า ฟักทองอ่อน บวบหอมยอดฟักแม้ว เห็ดฟาง ใบแมงลัก สำหรับขั้นตอนการทำก็เริ่มจากการตำเครื่องแกง สำหรับทำแกงเลียง โดยนำพริกไทยขาวตำให้ละเอียดแล้วตามด้วยกระชาย พริกขี้หนูสวน เมื่อตำทุกอย่างเข้ากันดีแล้ว ให้ตามด้วยหอมแดง และกะปิเคย ทำการโคลกให้ทุกอย่างเข้ากันดี และพักเตรียมไว้ก่อน


จากนั้น นำหัวกุ้งที่ได้จากการแกะกุ้ง ลงไปคั่วในหม้อ ตั้งไฟอ่อน จนสุกเหลืองแดง หลังจากนั้นเติมน้ำลงไปเล็กน้อย ต้มให้มันกุ้งออกและได้ความหอมของน้ำตุ้มกุ้ง จากนั้นกรองเอาเปลือกกุ้งออก ก็จะได้น้ำซุปต้ม เปลือกกุ้งและหัวกุ้ง หลังจากนั้น นำน้ำซุปที่ได้จากการต้มหัวกุ้งและเปลือกกุ้ง มาตั้งไฟ เติมน้ำลงไปประมาณครึ่งหม้อ
เมื่อน้ำเดือดแล้ว ใส่เครื่องแกงเลียงที่เราโคลกไว้ คนให้ทุกอย่างละลายแล้วใส่ฟักทองอ่อน และน้ำเต้า ลงไปต้ม ให้ผักสองอย่างนี้ สุกก่อน เพราะเป็นผักที่สุกช้า เมื่อน้ำเต้าและฟักทองอ่อนสุกแล้ว ก็ใส่ผักที่เหลือลงไปคือ บวบหอม ข้าวโพดอ่อน เห็ดฟาง ระหว่างต้มอยู่ถ้ามีฟองสามารถช้อนฟอง ออกได้ และปรุงรสชาติแกงเลียงด้วยน้ำปลาเล็กน้อย เมื่อได้รสชาติตามต้องการแล้ว ใส่กุ้งสดที่ล้างทำความสะอาด

 
เมื่อทุกอย่างสุกได้ที่แล้ว เราจะใส่ยอดฟักแม้ว และใบแมงลัก ลงไปเป็นขั้นตอนสุดท้าย เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็จะได้เมนูเพื่อสุขภาพที่เต็มไปด้วยผักและสมุนไพรที่น่ารับประทานมาก สามารถรับประทานได้ทั้งครอบครัว สำหรับเมนูแกงเลียงกุ้งสดเป็นเมนูที่มีประโยชน์กับคุณแม่ตั้งครรภ์


จะช่วยเรียกน้ำนมของคุณแม่ได้ดีและส่งผลดีต่อลูกน้อยอย่างมาก เพราะได้น้ำนมปริมาณมาก เป็นเมนูที่มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก และมีประโยชน์มาก ช่วยลดไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด เหมาะสำหรับคนที่มีระดับไขมันในเลือดสูง ซึ่งภาวะนี้ก็ค่อนข้างเสี่ยงอันตรายในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือโรคอ้วน ดังนั้นเพื่อไม่ให้ต้องไปถึงจุดที่เจ็บป่วยเรื้อรัง การควบคุมอาหารหรือเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพจึงมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก
 
ดังนั้น เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย และที่สำคัญควรจะหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ และมีสุขภาพร่างกายที่ดี

 

7
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ (Cluster headache)

ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ เป็นโรคปวดศีรษะข้างเดียวที่มีอาการปวดฉับพลันและรุนแรง เป็น ๆ หาย ๆ เป็นช่วง ๆ ทำให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมาน แต่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรืออันตรายใด ๆ เป็นโรคที่พบได้ค่อนข้างน้อย (ในสหรัฐอเมริกาพบโรคนี้ประมาณ 1-4 คนในประชากร 1,000 คน) พบบ่อยในช่วงอายุ 20-50 ปี แต่ก็อาจเป็นตั้งแต่วัยรุ่นหรือตอนอายุ 50 ปีกว่าก็ได้

พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ในปัจจุบันพบว่าผู้หญิงได้เป็นโรคนี้มากขึ้น เนื่องจากผู้หญิงมีการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมากขึ้น ประกอบกับการวินิจฉัยมีความแม่นยำขึ้น จากเดิมที่ผู้หญิงปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ถูกวินิจฉัยผิดว่าเป็นไมเกรน

ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่

    ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ชนิดครั้งคราว (epidemic cluster headache) ซึ่งพบเป็นส่วนใหญ่ มีอาการปวดนาน 1 สัปดาห์ถึง 1 ปี (ส่วนใหญ่ 2-12 สัปดาห์) และมีการเว้นช่วงที่ปลอดจากอาการนานอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไปก่อนจะเป็นรอบใหม่
    ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ชนิดเรื้อรัง (chronic cluster headache) ซึ่งพบเป็นส่วนน้อย (ราวร้อยละ 20) มีอาการปวดติดต่อกันนานมากกว่าหนึ่งปีขึ้นไป โดยไม่มีการเว้นช่วงที่ปลอดจากอาการ หรือเว้นช่วงนานน้อยกว่า 3 เดือนก่อนจะเป็นรอบใหม่   

ทั้งสองชนิดนี้สามารถแปรเปลี่ยนไปมากันได้ ชนิดครั้งคราวอาจกลายมาเป็นชนิดเรื้อรัง หรือชนิดเรื้อรังกลายมาเป็นชนิดครั้งคราว

สาเหตุ

อาการของโรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือด (หลอดเลือดขยายตัว) และเซลล์ประสาทของประสาทสมองเส้นที่ 5 และระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะบนใบหน้า

ส่วนสาเหตุของการเกิดโรคนี้ยังไม่ทราบ เชื่อว่าลักษณะการเกิดอาการเป็นรอบเวลา และมักเป็นตอนกลางคืน อาจเกี่ยวกับการทำงานผิดปกติของสมองส่วนไฮโพทาลามัส ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมนาฬิกาชีวิต (biological clock) ภายในร่างกาย วงจรการนอนหลับ และอื่น ๆ (เช่น อุณหภูมิร่างกาย ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ การหลั่งสารฮอร์โมน การทำงานของระบบประสาท เป็นต้น)

พบว่า บางรายมีประวัติว่ามีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย ซึ่งเกี่ยวกับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์   

นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าปกติ (ผู้ที่แพทย์วินิจฉัยเป็นโรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ มีประวัติสูบบุหรี่ถึงร้อยละ 85)

อาการปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์มักจะกำเริบจากการมีสาเหตุกระตุ้นที่สำคัญ ได้แก่ การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (แม้ปริมาณเพียงเล็กน้อย) การได้กลิ่นฉุน ๆ (เช่น กลิ่นสี กลิ่นทินเนอร์ กลิ่นน้ำมันเบนซิน กลิ่นน้ำหอม) การเจอความร้อน (เช่น อากาศร้อน การอยู่ในห้องที่ร้อนอบอ้าว การอาบน้ำร้อน) การออกกำลังกายมากเกิน หรือการทำงานจนร่างกายเหนื่อยล้า การใช้ยาไนโตรกลีเซอรีน (สำหรับการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ)

อาการ

มีอาการปวดศีรษะข้างหนึ่ง เกิดขึ้นฉับพลันและรุนแรง เริ่มด้วยอาการปวดแสบปวดร้อนที่ข้างจมูกหรือหลังเบ้าตา และจะปวดแรงขึ้นภายในไม่กี่นาที จนรู้สึกปวดรุนแรงจนสุดจะทนได้ตรงบริเวณรอบกระบอกตา หลังเบ้าตา และขมับ อาจปวดร้าวไปที่ใบหน้า หน้าผาก ท้ายทอย ลำคอ ไหล่ จมูก เหงือกหรือฟันข้างเดียวกัน 

ผู้ป่วยจะมีอาการรู้สึกคล้ายถูกแท่งน้ำแข็งเสียบผ่านเข้าไปในลูกตา หรือเทน้ำกรดผ่านรูหูเข้าไปในศีรษะ หรือคล้ายลูกตาถูกดันให้หลุดออกจากเบ้า

มักจะปวดตอนกลางคืนหลังเข้านอน 1-2 ชั่วโมง จนสะดุ้งตื่น นอนไม่หลับ ผู้ป่วยจะลุกขึ้นเดินพล่าน ในรายที่ปวดรุนแรงมาก อาจจะร้องครวญคราง นั่งโยกตัวไปมา คลานบนพื้น กุมศีรษะหรือใช้มือกดตรงบริเวณที่ปวด  หรือศีรษะโขกกำแพงหรือของแข็ง

บางรายอาจปวดตอนกลางวัน ซึ่งมักมีความรุนแรงน้อยกว่าตอนกลางคืน

อาการปวดมักจะเป็นทุกวัน ส่วนใหญ่จะเป็นวันละหลายครั้ง (บางรายอาจปวดวันละครั้งหรือสองวันครั้ง หรืออาจปวดถี่มากสุดถึงวันละ 8 ครั้ง) มักมีอาการปวดตรงเวลาทุกวัน แต่ละครั้งปวดนานประมาณ 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง (ส่วนใหญ่ปวดอยู่นาน 30-90 นาที) แล้วจะหายปวดอย่างปลิดทิ้ง (แต่อาจรู้สึกอ่อนเพลียตามมา) เว้นช่วงเป็นชั่วโมง ๆ หรือเกือบวันจึงจะเริ่มปวดครั้งใหม่

อาการแต่ละรอบจะเป็นทุกวัน (หรือวันเว้นวัน) ส่วนใหญ่จะเป็นอยู่นานต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ แล้วหายเป็นปกติไปเอง มักมีช่วงที่ไม่มีอาการอย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไป อาจนานเป็นแรมเดือนแรมปีจึงจะกำเริบรอบใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็น 1-2 รอบต่อปี เป็นวงรอบแบบนี้เรื่อยไป ซึ่งมักมีอาการกำเริบตรงฤดูกาลหรือตรงเดือน (เช่น เดือนตุลาคม) ของทุกปี ในแต่ละรอบที่กำเริบผู้ป่วยจะปวดอยู่ข้างเดิมทุกครั้ง ส่วนในรอบใหม่อาจเปลี่ยนไปปวดอีกข้างก็ได้ แต่ก็พบได้เป็นส่วนน้อย

ขณะที่มีอาการปวดศีรษะ ผู้ป่วยมักจะมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างร่วมด้วย ได้แก่   

    ตาข้างเดียวกับที่ปวดมีอาการตาแดง น้ำตาไหล หนังตาบวม หนังตาตก หรือรูม่านตาหดเล็ก 
    รูจมูกข้างที่ปวดมีอาการคัดจมูกหรือน้ำมูกไหล
    ใบหน้าข้างที่ปวดออกซีดหรือแดงกว่าปกติ
    ใบหน้าและหน้าผากข้างที่ปวดมีเหงื่อออก

ส่วนน้อยอาจมีอาการคลื่นไส้ ไวต่อแสง (กลัวแสง)คล้ายไมเกรนร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

โรคนี้ถึงแม้จะปวดรุนแรงและเรื้อรัง แต่ก็ไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่เป็นอันตรายต่อชีวิต หรือทำให้สมองพิการแต่อย่างใด นอกจากทำให้มีผลต่อจิตใจ (เช่น กังวล ซึมเศร้า คิดฆ่าตัวตาย) และคุณภาพชีวิต (เช่น เป็นอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน การออกสังคม)

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

การตรวจร่างกาย อาจตรวจพบตาข้างที่ปวดมีอาการตาแดง น้ำตาไหล หนังตาบวม หนังตาตก หรือรูม่านตาหดเล็ก ใบหน้าหรือหน้าผากข้างที่ปวดมีเหงื่อออก รูจมูกข้างที่ปวดมีน้ำมูกไหล

อาจตรวจพบชีพจรเต้นช้า หน้าซีดหรือหน้าแดง เจ็บหนังศีรษะ

อาจพบว่าผู้ป่วยมีอาการกระสับกระส่าย เคลื่อนไหวไปมา ร้องครวญคราง ก้มศีรษะต่ำและใช้มือกดบริเวณที่ปวด

ในรายที่มีอาการปวดศีรษะรุนแรง สงสัยว่าอาจเกิดจากโรคทางสมอง เช่น เนื้องอกสมอง หลอดเลือดสมองโป่งพอง (aneurysm) เลือดออกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ เป็นต้น ก็จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ตรวจเลือด เจาะหลัง (ตรวจน้ำไขสันหลัง) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ขณะที่มีอาการปวดกำเริบเฉียบพลัน ให้การรักษาเพื่อบรรเทาปวดด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ให้ออกซิเจนบริสุทธิ์ (100%) โดยการใช้หน้ากากครอบจมูกและปาก ด้วยอัตรา 6-8 ลิตร/นาที ทันทีที่เริ่มปวด จะช่วยให้ทุเลาได้ภายใน 15 นาที เป็นวิธีที่ได้ผลดีและปลอดภัย
    ฉีดซูมาทริปแทน (sumatriptan) 6 มก. เข้าใต้ผิวหนัง หรือฉีดไดไฮโดรเออร์โกตามีน (dihydroergotamine) 1-2 มก. เข้ากล้ามหรือหลอดเลือดดำ ยา 2 ชนิดนี้มีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดแดงตีบตัว ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด และไม่ควรใช้ยา 2 ชนิดนี้ร่วมกัน 
    ใช้ซอลมิทริปแทนชนิดพ่นเข้าจมูก (zolmitriptan nasal spray)
    บางรายแพทย์อาจจะใช้ยาชาชนิดพ่นเข้าจมูก (lidocaine nasal spray)

ในการรักษาโรคนี้ แพทย์จะใช้ยาฉีดหรือยาพ่นจมูก ไม่ใช้ยาแก้ปวดชนิดกิน เนื่องจากโรคนี้มีอาการปวดรุนแรงและเฉียบพลัน การกินยาแก้ปวดใช้ไม่ได้ผลเพราะออกฤทธิ์ช้า

2. ในรายที่มีอาการปวดทุกวัน แพทย์จะให้ยากินป้องกันไม่ให้ปวดซ้ำซาก ยาที่นิยมใช้เป็นตัวแรก ได้แก่ เวราพามิล (verapamil ซึ่งเป็นกลุ่มยาต้านแคลเซียม ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง) ข้อดีคือ ยานี้สามารถใช้ร่วมกับยาตัวอื่น และเหมาะกับการใช้กินป้องกันระยะยาวในผู้ที่มีอาการเรื้อรังนาน ๆ อาจมีผลข้างเคียง เช่น ท้องผูก เท้าบวม ความดันโลหิตต่ำ

สำหรับผู้ป่วยที่เพิ่งเป็น มีอาการปวดไม่บ่อยและมีช่วงปลอดจากอาการนาน แพทย์จะให้กินยาสเตียรอยด์ (เช่น ยาเม็ดเพร็ดนิโซโลน) ยานี้เหมาะสำหรับใช้ในช่วงสั้น ๆ เพราะหากใช้ติดต่อกันนาน ๆ อาจเกิดผลข้างเคียงมากมาย และอาจเป็นอันตรายได้ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ต้อกระจก ภูมิคุ้มกันต่ำ (ติดเชื้อง่ายและรุนแรง) บวม โรคคุชชิง เป็นต้น

ถ้าใช้ยาดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ผล แพทย์อาจให้กินลิเทียมคาร์บอเนต (lithium carbonate) ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาโรคอารมณ์สองขั้ว เหมาะสำหรับการกินป้องกันระยะยาวในผู้ที่มีอาการเรื้อรังนาน ๆ อาจมีผลข้างเคียง เช่น กระหายน้ำ ท้องเดิน มือสั่น ไตเสื่อม เป็นต้น

บางรายแพทย์อาจให้ยารักษาโรคลมชัก เช่น โทพิราเมต (topiramate), ไดวาลโพรเอต (divalproate) เป็นต้น

บางรายแพทย์อาจใช้เวราพามิลร่วมกับลิเทียม ซึ่งช่วยให้ได้ผลมากขึ้น

นอกจากนี้ แพทย์อาจใช้วิธีที่ไม่ใช้ยา เช่น การใช้อุปกรณ์ส่งกระแสไฟฟ้ากระตุ้นประสาทเวกัสผ่านทางผิวหนังที่บริเวณข้างคอ (vagus nerve stimulation/VNS), การฉีดยาชาระงับความรู้สึกที่ท้ายทอย (occipital nerve block ซึ่งมักใช้ร่วมกับการให้กินยาเวราพามิล)

3. ผู้ป่วยจำนวนน้อยที่แพทย์อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด มักเป็นผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรังที่ใช้ยาหรือรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ไม่ได้ผล หรือไม่สามารถใช้ยาได้ เนื่องจากมีผลข้างเคียงหรือข้อห้ามในการใช้ยา

การผ่าตัดมีอยู่หลายวิธี เช่น การใช้ความร้อนจากคลื่นวิทยุหรือรังสีแกมมาทำลายเส้นประสาทสมองเส้นที่ 5 (percutaneous radiofrequency ablation หรือ gamma knife radiosurgery), การผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้า (electrodes) กระตุ้นเส้นประสาทบริเวณท้ายทอย (occipital nerve stimulation) หรือปมประสาทสะฟีโนพาลาไทน์ (sphenopalatine ganglion stimulation), การผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้า (electrode) ไว้ในสมองส่วนไฮโพทาลามัส (deep brain stimulation) เป็นต้น

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดรุนแรงตรงบริเวณรอบและหลังเบ้าตา และใบหน้าซีกหนึ่ง หรือมีอาการปวดใบหน้าซีกหนึ่งร่วมกับมีอาการตาแดง น้ำตาไหล คัดจมูก น้ำมูกไหล หนังตาบวม หรือหนังตาตก โดยเป็นข้างเดียวกับใบหน้าที่ปวด หรือปวดตาและใบหน้าซีกเดียว ครั้งละประมาณ 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง ทุกวัน ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ ควรปฏิบัติ ดังนี้

    ใช้ยาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์
    หลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรหยุดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีอาการข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    หลังใช้ยาแล้วอาการไม่ทุเลา หรือกำเริบใหม่
    มีไข้ อาเจียน คอแข็ง (ก้มคอไม่ลง) แขนขาชาหรืออ่อนแรง พูดลำบาก ซึม ชัก
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ)
    ยาหาย หรือขาดยา
    มีความวิตกกังวล

การป้องกัน

โรคนี้ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคนี้สามารถป้องกันไม่ให้กำเริบบ่อยได้ ดังนี้

1. หลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้นที่สำคัญ ได้แก่

    การสูบบุหรี่ 
    การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 
    การได้กลิ่นฉุน ๆ เช่น กลิ่นสี กลิ่นทินเนอร์ กลิ่นน้ำมันเบนซิน กลิ่นน้ำหอม
    การเจอความร้อน เช่น อากาศร้อน การอยู่ในห้องที่ร้อนอบอ้าว การอาบน้ำร้อน
    การกำลังกายมากเกิน หรือการทำงานจนเหนื่อยล้า

2. การใช้ยาป้องกันตามที่แพทย์แนะนำ เช่น เวราพามิล (verapamil), เพร็ดนิโซโลน, ลิเทียมคาร์บอเนต เป็นต้น

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มีอาการปวดศีรษะข้างเดียวคล้ายไมเกรน ต่างกันที่โรคนี้พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ปวดรุนแรงกว่าแต่ระยะเวลาสั้นกว่าไมเกรน (ปวดนาน 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง) และปวดแบบเว้นระยะเป็นช่วง ๆ แต่เป็นทุกวัน หรือวันเว้นวัน นานเป็นสัปดาห์ถึงเป็นแรมปี (ไมเกรนพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จะปวดติดต่อกันนานครั้งละ 4-72 ชั่วโมง แล้วเว้นไปนานกว่าจะกำเริบใหม่) โรคนี้มักจะไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน กลัวแสง และกลัวเสียง (ซึ่งตรงข้ามกับไมเกรน) แต่จะมีอาการตาแดง น้ำตาไหล หนังตาบวม หนังตาตก รูม่านตาหดเล็ก หรือน้ำมูกไหลร่วมด้วย  (ซึ่งไม่พบในไมเกรน) โรคนี้เวลาปวด ผู้ป่วยจะอยู่ไม่นิ่ง จะเดินไปมา หรือโยกตัว (ผู้ป่วยไมเกรนจะหยุดเคลื่อนไหว นั่งหรือนอนพักในห้องมืด ๆ เงียบ ๆ)

2. ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีอาการปวดต่อเนื่อง ไม่เว้นระยะ หรือปวดนานเป็นวัน ๆ ควรคิดว่าอาจเป็นโรคร้ายแรงทางสมอง (เช่น เนื้องอกสมอง หรือเลือดออกในสมอง สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น) ดังนั้น ถ้ามีอาการปวดศีรษะรุนแรงร่วมกับมีประวัติศีรษะได้รับบาดเจ็บ หรือมีอาการไข้ อาเจียน คอแข็ง (ก้มคอไม่ลง) แขนขาชาหรืออ่อนแรง พูดลำบาก ซึม หรือชัก ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

3. โรคนี้แม้จะมีอาการปวดศีรษะรุนแรง และเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง (บางคนอาจเป็นไปจนตลอดชีวิต บางคนเมื่ออายุมากขึ้นก็จะปวดห่างขึ้น และมีช่วงปลอดอาการนานขึ้น) แต่ไม่มีอันตรายร้ายแรง และไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด การรักษาเพียงให้ยาบรรเทาอาการปวด (ขณะมีอาการปวดรุนแรงเฉียบพลัน มักจะต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อใช้ยาฉีดบรรเทาอาการ ยาแก้ปวดชนิดกินจะใช้ไม่ได้ผล) และให้ยากินป้องกันไม่ให้กำเริบบ่อย ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองไม่ให้กำเริบบ่อยด้วยการหลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้น

8
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


9
มาดู 7 วิธีแต่งบ้านสไตล์มินิมอล และเลือกของตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะ

การแต่งบ้านสไตล์มินิมอลเป็นอีกหนึ่งสไตล์ของการตกแต่งบ้านและที่พักอาศัยที่ได้รับความนิยมอย่างไม่แผ่วเลย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อายุน้อย กับการแต่งบ้านแบบน้อยแต่มากแบบมินิมอล (Minimal style) ด้วยจุดเด่นอันแสนหลากหลายทั้งสไตล์แบบเฉพาะตัวพร้อมค่าใช้จ่ายที่ไม่แรงเกินไป ไม่แปลกที่การแต่งบ้านสไตล์มินิมอลจะมาแรง วันนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับการแต่งบ้านแบบมินิมอลว่ามันเป็นยังไงกันแน่ และเผื่อว่าใครที่อยากแต่งบ้านสไตล์นี้ดูบ้าง เราก็ไม่พลาดที่จะนำเทคนิคการเลือกเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งห้องหรือบ้านของคุณให้ออกมาในสไตล์มินิมอลแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รับรองว่าการจัดบ้านสไตล์มินิมอลจะทำให้ดูน่าอยู่มากขึ้นแน่นอน!

แต่งบ้านสไตล์มินิมอล (Minimal Style) หมายถึงอะไร

“ใช้สีโมโนโทน”

“การจัดวางเป็นดูเรียบร้อย”

“เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น”

“เรียบง่ายแต่ดูดี”

“น้อยแต่มาก”

เมื่อพูดถึงการตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอลแล้ว ประโยคข้างบนนี้คงเป็นประโยคที่ทุกคนน่าจะเคยได้ยินได้เห็นผ่านตามาไม่มากก็น้อย ‘Minimal Style’ สไตล์การตกแต่งที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมมาสักพักแล้วนี้ หมายถึง สไตล์การตกแต่งที่เน้นความเรียบง่าย ใช้เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น แต่มีประโยชน์ใช้สอย เลือกสิ่งตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ตามจำเป็น มีการจัดวางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย

ฟังดูเหมือนง่ายใช่ไหมคะ? ก็แค่ไม่ต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์เยอะ เอาเฉพาะที่จำเป็น แล้วก็ซื้อสีเดียวกันมาอยู่ด้วยกันก็พอ แต่จริงๆ การตกแต่งบ้านสไตล์นี้ไม่ได้ทำกันง่ายขนาดนั้น ตอนเลือกเฟอร์นิเจอร์ต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะแต่งยังไงให้สวย อบอุ่นน่าอยู่ แล้วดูมินิมอลด้วย ต้องบาลานซ์การตกแต่งและวางแผนล่วงหน้าไว้หลายสเต็ปทีเดียว

นักตกแต่งภายในหลายคนเคยพูดถึงการตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอลไว้ว่า ความมินิมอลต้องมาคู่กับฟังก์ชันที่ครบครัน เรียกได้ว่าน้อยอย่างเดียวไม่พอ แต่เฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งจะต้องเอื้อให้สามารถใช้งานในชีวิตจริงได้ด้วย

จุดสำคัญของการแต่งบ้านให้ออกมาเป็นสไตล์มินิมอล

สำหรับผู้ที่สนใจจัดบ้านแบบมินิมอล การทำความเข้าใจเกี่ยวกับจุดสำคัญทั้งเรื่องสีสันบ้านโทนมินิมอล การเลือกเฟอร์นิเจอร์มินิมอล ไปจนถึงไอเดียแต่งห้องมินิมอลจะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาน่าพึงพอใจ สวยงามดังที่คาดหวังเอาไว้

• มีโทนสีแบบโมโนโทนหรือเรียกว่า Monochromatic และมักจะใช้สีอ่อนๆ

• ในการออกแบบจะต้องออกแบบให้มีการนำเส้นสายตาที่ตรงและคม

• การคัดสรรเฟอร์นิเจอร์ที่ทำมาใช้งานจะน้อยชิ้น แต่การใช้งานต้องครบครัน

• การจัดพื้นที่ในห้องให้ดูมีที่ว่างเยอะ และดูกว้างขวาง

• พื้นผิวในจุดต่างๆ ทั่วห้องต้องดูมีที่ว่าง โล่ง และสะอาดตา ของตกแต่งน้อยชิ้น

• ของน้อย ตกแต่งเรียบง่าย แต่ต้องดูน่าอยู่ อบอุ่น และไม่ทิ้งความมีสไตล์

• เน้นที่คุณภาพของเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งมากกว่าปริมาณสิ่งของ

การตกแต่งสไตล์มินิมอลเหมาะกับใคร

การตกแต่งมินิมอลฟังดูยากมากสำหรับยุคสมัยนี้ที่เต็มไปด้วยการช็อปปิ้งออนไลน์ ซื้อสิ่งของต่างๆ เข้าบ้านกันง่ายดายจนแทบไม่มีที่เก็บ เห็นอะไรก็น่าซื้อน่าลองไปหมด การแต่งบ้านสไตล์มินิมอลนั้นไม่ได้จบที่การตกแต่ง แต่จะต้องปรับพฤติกรรมการซื้อของใช้เข้าบ้านให้มินิมอลตามไปด้วย ซื้อแต่ที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น

อาจเรียกได้ว่า มินิมอลนั้นเป็นมากกว่าแค่การแต่งบ้าน แต่เป็นแนวคิดที่มาคู่กับการสร้างไลฟ์สไตล์และการอยู่อาศัย ข้อดีที่สำคัญที่สุดคือช่วยให้เราสามารถโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา ช่วยให้ใส่ใจคุณภาพให้มากกว่าปริมาณ (และประหยัดในระยะยาว)

การตกแต่งสไตล์มินิมอลเหมาะกับใครก็ได้ทั้งนั้น แต่มักจะถูกมองว่าเป็นที่นิยมในหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ที่นิยมความเรียบง่ายแต่เก๋และมีสไตล์

ต่อไปเราไปดูกันดีกว่าว่าวิธีการตกแต่งบ้านของคุณให้เป็นสไตล์นี้ต้องทำยังไง มีทิปส์หลายอย่างตั้งแต่เทคนิคการเลือกเฟอร์นิเจอร์ การเลือกใช้สี และการจัดการพื้นที่ใช้สอย มาดูกัน!

ทริคแต่งบ้านและเลือกเฟอร์นิเจอร์สไตล์มินิมอล (Minimal style)

เพื่อให้การตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอลเกิดความสวยงาม น่าประทับใจ ได้ผลลัพธ์ตามความต้องการสำหรับเจ้าของบ้าน ลองมาศึกษาทริคการแต่งบ้านไปจนถึงการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์สไตล์มินิมอลเลยว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ตอบโจทย์ตามสิ่งที่คาดหวังเอาไว้อย่างแน่นอน

1. เริ่มจากการเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ใช่ก่อน

สิ่งสำคัญที่สุดในการตกแต่งบ้านไม่ว่าจะสไตล์ใดก็ตามคือ การเลือกเฟอร์นิเจอร์ ยิ่งการเลือกเฟอร์นิเจอร์สำหรับการแต่งบ้านสไตล์มินิมอล การเลือกเฟอร์นิเจอร์ยิ่งต้องพิถีพิถัน หลักการเลือกเฟอร์นิเจอร์มีอยู่ว่า

• เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ดูเรียบง่าย พื้นผิวไม่เน้นลวดลาย

• ดีไซน์มีความสวยงาม ไม่ตกยุคง่าย ดูมีคุณภาพ และคงทน

• สีอ่อนหรือเข้มก็ได้ แต่ให้ไปในโทนสีเดียวกันตลอด

• เลือกเฉพาะสิ่งที่มีประโยชน์และมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันจริงๆ เฟอร์นิเจอร์ชิ้นไหนที่คิดว่าเราอยู่ได้โดยไม่ต้องซื้อมันมาก็ให้ตัดออก

• การออกแบบมีลักษณะและรูปเป็นเส้นตรงและคม ไม่มีลวดลาย

ราวแขวนผ้าทำจากไม้สัก เรียบง่ายดูดี สามารถเลือกสีได้ (อ่านรายละเอียดสินค้า)

2. พื้นที่บนชั้นวางของไม่รก เน้นโล่งสบายตา

พื้นที่ต่างๆ ที่มองเห็นในไม่ว่าจะเป็นบนโต๊ะ บนชั้นวางของ หรือเป็นพื้น จะต้องมีพื้นที่เหลือให้มากหน่อย วางตกแต่งหรือวางเฉพาะของที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ควรมีของวางอัดแน่นเต็มพื้นที่ แม้จะเรียงด้วยความเป็นระเบียบก็จะแค่ดูเป็นระเบียบ แต่ก็ยังผิดไปจากหลักความมินิมอลที่เน้นความโล่งสบายตา อย่างที่บอกว่าของที่เก็บก็ควรเป็นของใช้ที่จำเป็นต้องใช้ทุกวันจริงๆ เน้นประโยชน์ใช้สอย ของสะสมเอย ของดูต่างหน้าเอย ให้เก็บเข้ากล่องในห้องเก็บของไว้จะดีกว่า ยิ่งถ้าเป็นไอเดียแต่งห้องนอนมินิมอลด้วยแล้ว การมีพื้นที่สะอาด ดูไม่รกตา จะช่วยเพิ่มความโล่งสบาย ไม่อึดอัดอีกด้วย

3. ควรเลือกใช้สีอ่อน หรือสีโมโนโทน

สีที่เลือกใช้ไม่ว่าจะกับเฟอร์นิเจอร์หรือผนังห้อง ควรเลือกใช้สีที่ดูกลาง ๆ และดูคลาสสิค เช่น สีขาว สีเบจ สีเทา หรือสีที่ดูธรรมชาติเอิร์ธโทนอย่างสีน้ำตาล ที่มีให้เลือกอยู่หลายเฉด แต่อย่าลืมว่าต้องคุมโทนให้เป็นโทนเดียวกันตลอด ไม่เอามายำรวมกันไปเรื่อย ให้เลือกสีหลัก แล้วเพิ่มมิติด้วยการตกแต่งด้วยสีอื่นเข้าไปแทน แบบนี้จะทำให้บ้านดูเป็นธรรมชาติไปในทิศทางเดียวกัน ไม่เกิดความสับสนของโทนสี ไม่รู้สึกขัดหูขัดตา สร้างความน่าอยู่อาศัยมากขึ้นกว่าเดิม

4. น้อยแต่โก้ แต่ฟังก์ชันก็ต้องมา

ไม่ใช่แค่สำหรับการแต่งบ้านในสไตล์มินิมอลนะคะ ไม่ว่าจะสไตล์ไหน ในการเลือกเฟอร์นิเจอร์นั้นต้องพิจารณาถึงฟังก์ชันและการใช้งานควบคู่กันไปกับความสวยงามของเฟอร์นิเจอร์ด้วย แต่ก็ไม่ต้องยึดติดมากไปว่าจะต้องใช้งานได้หลากหลายวัตถุประสงค์ ต้องเป็นเฟอร์นิเจอร์ไซน์สุดล้ำ หัวใจสำคัญก็อย่างทำเราย้ำตลอดเลยคืออยู่ที่การเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ได้ใช้งานจริง และเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกออกมาแบบมาอย่างคำนึงถึงผู้ใช้ และพื้นที่การใช้สอย ไม่กินที่โดนใช่เหตุ ไม่หวือหวาลวดลายเยอะ มีความเป็นโมเดิร์นเรียบๆ นี่คือเสน่ห์ที่จะช่วยเสริมความมินิมอลของบ้านคุณให้เปล่งประกายยิ่งกว่าเคย คำว่าน้อยแต่มากไม่ใช่แค่ทำพูดเก๋ ๆ แต่ต้องแสดงให้เห็นถึงการเข้าใจความเป็นมินิมอลอย่างแท้จริง

5. เลือกไฟและของตกแต่งที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น

มากกว่าที่จะบอกว่าเป็นการเลือกไฟ ต้องพูดว่าการจัดไฟในห้องดีกว่า เพราะการเน้นความเรียบง่ายอาจทำให้ห้องดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา การจัดแสงให้ห้องดูอบอุ่นนั้นมีความสำคัญ ห้องสไตล์มินิมอลควรมีลักษณะที่สว่างไสว มีแสงแดดลอดเข้ามา หน้าต่างควรเป็นแบบเรียบๆ ผ้าม่านไม่มีลวดลาย

ในส่วนของการตกแต่งควรใช้ของตกแต่งน้อยชิ้น แต่ละชิ้นนอกจากจะตกแต่งแล้ว ควรจะได้ใช้งานจริงด้วย ไม่ใช่เอามาวางทิ้งไว้เฉยๆ ของตกแต่งของห้องสไตล์มินิมอลส่วนใหญ่จะเน้นอะไรก็ตามที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น เนื่องจากภาพรวมห้องจะดูเคร่งขรึมอยู่แล้วด้วยการเลือกเฟอร์นิเจอร์ การใช้สีอะไรต่างๆ ที่เน้นเรียบๆ ดีเทลของตกแต่งจริงควรเป็นส่วนที่เพิ่มชีวิตชีวา และความอบอุ่นน่าอยู่

การตกแต่งเพื่อความสวยงามอย่างเดียว ไม่เน้นใช้งานก็ใช้ว่าจะทำไม่ได้ สามารถทำได้ แต่ทำน้อยๆ และเน้นการตกแต่งที่เป็นสีโมโนโทน ไม่ฉูดฉาดละลานตาเกินไป

6. ใช้ Slatted walls เข้ามาช่วยในการตกแต่ง

Slatted walls คือแผ่นไม้ที่มาเรียงต่อๆ กันอาจเป็นบนผนังบ้าน กำแพงบ้าน หรือพื้นผิวของเฟอร์นิเจอร์ก็ได้เช่นกัน นับเป็นลักษณะของการตกแต่งภายในที่เรียบง่ายแต่ดูมีสไตล์เฉพาะตัว คุมโทนได้แบบกำลังพอดี ไม่หวือหวาแต่ก็ไม่ดูธรรมดามากนัก ทำให้ห้องหรือพื้นที่เรียบๆ ดูมีโมเดิร์นขึ้น แต่ไม่ฉูดฉาดหรือยุ่งเหยิงจนเกินไป เป็นอีกความเหนือระดับที่ควรค่ากับการนำมาใช้เป็นแนวทางสำหรับตกแต่งห้องแบบมินิมอล

7. ตกแต่งด้วยสีเขียวของต้นไม้

เป็นที่นิยมอย่างมากกับการปลูกต้นไม้ในบ้าน หากแต่งห้องออกมาดูแล้วเรียบเกินไป อยากจะแต่งห้องด้วยสีเขียวของต้นไม้รับรองว่ายังไงก็ไปกันได้กับสไตล์มินิมอล เพียงแต่ต้องอย่าตกแต่งเยอะเกินไป ต้นไม้ที่เลือกก็ไม่ควรจะฉูดฉาดหรือดูรก อาจจะเป็นต้นกระบองเพชรที่ดูเรียบ ๆ หรือต้นไม้ใบสีเขียวเข้มไม่มีลวดลายหวือหวา ไปจนถึงบรรดาต้นไม้ฟอกอากาศ เช่น ยางอินเดีย ลิ้นมังกร เดหลี เฟิร์นบอสตัน เป็นต้น ซึ่งการมีต้นไม้ในบ้านยังถือเป็นจุดพักสายตาได้อย่างดีหากรู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงาน

จบกันไปแล้วกับ 7 เทคนิคการแต่งบ้านแบบมินิมอล พอจะรู้แนวทางกันแล้วใช่ไหมคะ ว่าหัวใจสำคัญของการแต่งบ้านสไตล์นี้ให้ออกมาเรียบแต่มีสไตล์นั้นต้องทำยังไง รับรองว่าถ้าก้าวสู่ความเป็นมินิมอล นอกจากจะได้ห้องสวยๆ แล้ว ยังทำให้ผ่อนคลาย สบายใจ ไม่ต้องมาเสียสุขภาพจิตกับอะไรที่รกหูรกตาอีกด้วย ถ้าสนใจก็อย่าลืมลองวางแผนดูนะคะว่าต้องซื้ออะไรบ้าง

10
หมอประจำบ้าน: กุ้งยิง (Sty/Stye/Hordeolum)

กุ้งยิง หมายถึง ตุ่มฝีเล็ก ๆ ที่เกิดที่ขอบเปลือกตา ซึ่งอาจพบได้ที่เปลือกตาบนและล่าง แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

1. กุ้งยิงชนิดหัวผุด (external hordeolum/sty/stye) เป็นการอักเสบของต่อมเหงื่อ (gland of Moll) บริเวณผิวหนังตรงโคนขนตา จะเป็นหัวฝีผุดให้เห็นชัดเจน ตรงบริเวณขอบตา

2. กุ้งยิงชนิดหลบใน (internal hordeolum) เป็นการอักเสบของต่อมไขมัน (meibomian gland) บริเวณเยื่อบุเปลือกตา (เยื่อเมือกอ่อนสีชมพู มองเห็นเวลาปลิ้นเปลือกตา) หัวฝีจะหลบซ่อนอยู่ด้านในของเปลือกตา

บางครั้งต่อมไขมันบริเวณเยื่อบุเปลือกตาอาจมีการอุดตันของรูเปิดเล็ก ๆ ทำให้มีเนื้อเยื่อรวมตัวอยู่ภายในต่อม กลายเป็นตุ่มนูนแข็ง ไม่เจ็บปวดอะไร เรียกว่า ตาเป็นซิสต์ (chalazion) บางครั้งอาจมีเชื้อแบคทีเรียเข้าไปทำให้เกิดการอักเสบ คล้ายเป็นกุ้งยิงชนิดหัวหลบในได้ เมื่อหายอักเสบ ตุ่มซิสต์ก็ยังคงอยู่เช่นเดิม


สาเหตุ

กุ้งยิงเกิดจากต่อมเหงื่อหรือต่อมไขมันที่โคนขนตามีการอุดตัน และเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ เชื้อสแตฟีโลค็อกคัส เป็นส่วนใหญ่ จนกลายเป็นตุ่มฝีขึ้นมา มักเริ่มจากการมีฝุ่นหรือเชื้อโรคเข้าตา แล้วใช้มือที่ไม่สะอาดขยี้ตา ทำให้ต่อมที่เปลือกตาอุดตันและอักเสบ

เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย จะพบมากในเด็กอายุ 4-10 ปี

ปัจจัยที่เสริมให้เป็นกุ้งยิงได้ง่าย เช่น

    ไม่รู้จักรักษาความสะอาด เช่น ปล่อยให้ผิวหนัง มือ และเสื้อผ้าสกปรก
    มีความผิดปกติเกี่ยวกับสายตา เช่น สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง ตาเข เป็นต้น
    สุขภาพทั่วไปไม่ดี เช่น เป็นโรคเรื้อรัง ขาดอาหาร ฟันผุ ไซนัสอักเสบ อดนอน เป็นต้น
    มีภาวะที่ทำให้ติดเชื้อง่าย เช่น เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง เบาหวาน กินยาสเตียรอยด์นาน ๆ เป็นต้น

อาการ

มีอาการปวดที่เปลือกตา มีลักษณะปวดตุบ ๆ เฉพาะที่จุดใดจุดหนึ่ง เวลาก้มศีรษะต่ำกว่าระดับเอว จะปวดมากขึ้น และพบว่าบริเวณนั้นขึ้นเป็นตุ่มแข็ง แตะถูกเจ็บ ต่อมาค่อยๆ นุ่มลง บางครั้งมีหนองนูนเป่ง เห็นเป็นหัวขาว ๆ เหลือง ๆ โดยมากจะขึ้นเพียงตุ่มเดียว อาจเป็นที่เปลือกตาบนหรือล่างก็ได้ น้อยคนอาจเกิดพร้อมกัน 2-3 ตุ่ม บางครั้งอาจมีอาการเปลือกตาบวม หรือมีขี้ตาไหล

ถ้ากุ้งยิงขึ้นที่บริเวณหางตามักจะมีอาการรุนแรงอาจทำให้หนังตาบวมแดงจนตาปิด

ถ้าปล่องทิ้งไว้ 4-5 วันต่อมา ตุ่มฝีมักจะแตกเองแล้วหัวฝีจะยุบลงและหายปวด ถ้าหนองระบายได้หมดก็จะยุบหายไปภายใน 1 สัปดาห์

ผู้ป่วยที่เคยเป็นกุ้งยิงมาครั้งหนึ่งแล้ว อาจจะมีอาการกำเริบเป็น ๆ หาย ๆ อาจเป็นตรงจุดเดิม หรือย้ายที่ หรือสลับข้างไปมาได้


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าเป็นมาก อาจทำให้มีหนังตาอักเสบร่วมด้วย โดยทั่วไปมักจะแตกและยุบหายไปได้เอง โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนแต่อย่างใด นอกจากอาจทำให้เป็นแผลเป็น


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

พบตุ่มฝีขนาดเล็กตรงบริเวณขอบตา ตรงกลางมีลักษณะสีขาว ๆ เหลือง ๆ รอบ ๆ นูนแดงและกดเจ็บ

ในรายที่เป็นกุ้งยิงชนิดหัวหลบใน จะพบตุ่มนูนอยู่ใต้เปลือกตา กดถูกเจ็บ เมื่อปลิ้นเปลือกตา จะเห็นหัวฝีซ่อนอยู่ภายใน

บางรายอาจคลำพบต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณหน้าหูโตและเจ็บ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. เมื่อเริ่มขึ้นเป็นตุ่มฝีใหม่ ๆ ซึ่งเป็นตุ่มแข็ง ยังไม่กลัดหนอง ให้การรักษาดังนี้

    ประคบด้วยน้ำอุ่นจัด ๆ โดยใช้ผ้าสะอาดห่อหุ้มปลายด้ามช้อน แล้วชุบน้ำอุ่นจัด ๆ กดตรงบริเวณหัวฝี และนวดเบาๆ ทำเช่นนี้วันละ 4 ครั้ง ครั้งละ 20-30 นาที หลังประคบทุกครั้ง ให้ใช้ยาป้ายตาหรือหยอดตาที่เข้ายาปฏิชีวนะ
    ถ้าปวด ให้ยาแก้ปวด
    ถ้าหนังตาบวมแดง หรือมีต่อมน้ำเหลืองที่หน้าหูโตร่วมด้วย ให้กินยาปฏิชีวนะ เช่น ไดคล็อกซาซิลลิน หรืออีริโทรไมซิน เป็นเวลา 5-7 วัน

2. ถ้าตุ่มฝีเป่งเห็นหัวหนองชัดเจน ควรสะกิดหรือผ่าระบายหนองออก แล้วให้กินยาปฏิชีวนะ

3. ถ้าเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย ซึ่งชวนสงสัยว่าอาจมีภาวะซ่อนเร้นอื่น ๆ เช่น เบาหวาน สายตาผิดปกติ เป็นต้น แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดที่เปลือกตา ตุ่มแข็งที่เปลือกตาและแตะถูกเจ็บ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็น ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน  2-3 วัน 
    มีอาการปวดมากขึ้น ตุ่มโตขึ้น หรือหนังตาบวมแดง
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1.  รักษาสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง รวมทั้งกินอาหารที่มีคุณค่า พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าอดนอน ออกกำลังกายเป็นประจำ

2.  รักษาความสะอาดของร่างกายและเสื้อผ้า

3.  หลีกเลี่ยงการถูกฝุ่น ถูกลม แสงแดดจ้า ๆ และควันบุหรี่

4.  หลีกเลี่ยงการใช้มือ หรือผ้าเช็ดหน้าที่ไม่สะอาดเช็ดตา หรือขยี้ตา

5.  แก้ไขความผิดปกติเกี่ยวกับสายตา

6.  ควบคุมโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ไซนัสอักเสบ ฟันผุ เป็นต้น


ข้อแนะนำ

1.  ควรรักษากุ้งยิงเมื่อเริ่มขึ้นเป็นตุ่มใหม่ ๆ ด้วยการประคบด้วยน้ำอุ่นจัด ๆ และยาปฏิชีวนะชนิดหยอดหรือป้าย แต่ถ้าปล่อยจนกลัดหนอง การรักษาด้วยวิธีดังกล่าวจะไม่ได้ผล อาจต้องสะกิดหรือผ่าระบายหนองออก

2.  ในกรณีที่ตุ่มฝีแตกหรือหายอักเสบแล้ว แต่ยังคงมีตุ่มแข็งอยู่ต่อไปโดยไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด อาจเกิดจากตาเป็นซิสต์ (chalazion) ซึ่งส่วนมากจะพบที่เปลือกตาบน เวลาหลับตาจะสังเกตเห็นบริเวณนั้นนูนกว่าปกติ และถ้าคลำดูจะรู้สึกเคลื่อนไปมาได้เล็กน้อย โรคนี้ไม่มีอันตราย อาจเป็นอยู่ 2-3 เดือนแล้วยุบหายไปเอง แต่ถ้าไม่หายอาจต้องผ่าหรือขูดออก

11
หลังจากการจัดฟันเด็ก ต้องสวมใส่รีเทนเนอร์หรือไม่

ผู้เข้ารับการจัดฟันหลายคน คงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ภายหลังจากการจัดฟันเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น นอกเหนือจากการดูแลตัวเองและการรรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม หรือละเลย นั่นก็คือ การสวมใส่รีเทนเนอร์ เพราะหลังจากการเข้ารับการจัดฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้เข้ารับการจัดฟันทุกคนจะต้องจำเป็นต้องสวมใส่รีเทนเนอร์ ครอบทั้งฟันบนและฟันล่าง เพื่อป้องกันฟันเคลื่อนไปจากตำแหน่งที่ทำการจัดฟันไว้ ไม่ให้ฟันเคลื่อนผิดรูปผิดตำแหน่งอีก โดยในระยะแรก ทันตแพทย์จะแนะนำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสวมใส่รีเทนเนอร์ตลอดทั้งวัน

และสามารถถอดออกได้เฉพาะเวลารับประทานอาหารและตอนทำความสะอาดช่องปากและฟันเท่านั้น ระยะเวลาในการใส่รีเทนเนอร์ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทันตแพทย์เป็นหลัก ซึ่งอันนี้ถือเป้นอีกหนึ่งหน้าที่ของผู้เข้ารับการจัดฟันที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อที่จะไม่ต้องเข้ารับการจัดฟันซ้ำอีกรอบ เช่นเดียวกันในการจัดฟันในเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองหลายท่านอาจจะมีข้อสงสัยในการสวมใส่รีเทนเนอร์ สำหรับการจัดฟันในเด็ก ว่า ภายหลังที่บุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันเสร็จสิ้นแล้วนั้น จะต้องงสวมใส่รีเทนเนอร์เหมือนการจัดฟันในผู้ใหญ่หรือไม่ ซึ่งวันนี้เรามีคำตอบและจะมาพูดถึงเรื่องของการสวมใส่รีเทนเนอร์ในการจัดฟันในเด็ก เพื่อเป็นแนวทางให้กับเด็กที่มีความต้องการที่จะเข้ารับการจัดฟัน และเป็นแนวทางให้พ่อแม่ผู้ปกครองคอยหมั่นสังเกตพฤติกรรมของเด็กหลังจากการจัดฟันด้วย

ก่อนที่เราจะมาพูดถึงเรื่องของสวมใส่รีเทนเนอร์ในเด็ก เราจะมาทำความรู้จักกับเจ้าตัวเครื่องมือคงสภาพฟันหลังจากการจัดฟัน หรือที่เราเรียกว่า รีเทนเนอร์ นั่นเอง ซึ่งตัว รีเทนเนอร์นี้ เป็นเครื่องมือทางทันตกรรมที่มีความจำเป็นอย่างมาก หลังจากการดัดฟัน เพราะมีหน้าที่คงสภาพฟันให้อยู่เหมือนเดิม ไม่ให้ฟันเคลื่อนย้ายไปตำแหน่งอื่น หรือทำให้ฟันกลับมาล้มอีก จนต้องเข้ารับการจัดฟันใหม่

ซึ่งหากว่าผู้ที่ทำกาจัดฟันมาแล้ว ทันตแพทย์จะแนะนำตลอดว่าให้ใส่รีเทนเนอร์ และมีระเบียบ เพราะหากว่าจัดฟันมาใหม่ๆแล้วไม่ใส่รีเทนเนอร์ ก็อาจจะส่งผลให้ฟันล้ม ฟันเกได้ ซึ่งถ้าหากเกิดปัญหานี้ขึ้น ก็จะทำให้ต้องเริ่มจัดฟันใหม่ทั้งหมด ซึ่งทำให้เสียเวลา เสียเงินรอบสองได้ โดยส่วนใหญ่แล้ว รูปแบบของรีเทนเนอร์ จะมีด้วยกัน 2 แบบ นั่นคือ แบบใส และ แบบลวด โดยทั้งสองแบบนี้จะมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป แต่รีเทนเนอร์สำหรับการจัดฟันในเด็ก

ส่วนใหญ่จะใช้เป็นรีเทนเนอร์แบบลวด ข้อดีของรีเทนเนอร์แบบลวดก็คือ มีความคงทน สามารถทำความสะอาดได้ง่าย และสามารถให้ทันตแพทย์ปรับระดับความกระชับหากว่าใส่แล้วเกิดความไม่สบายได้ตลอด โดยไม่ต้องทำใหม่ โดยตัวรีเทนเนอร์แบบลวดจะทำมาจากอะคริลิก ที่ทำออกมาให้พอดีกับช่องปากของแต่ละคน โดยมีการทำงานก็คือ ทำให้ฟันไม่เคลื่อนที่ ไม่ล้ม ไม่เก โดยระยะเวลาในการใส่นั้นจะขึ้นอยู่กับที่ทันตแพทย์เห็นว่าเหมาะสม

ซึ่งรีเทนเนอร์ในการจัดฟันในเด็กนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ไม่ควรละเลยในการสวมใส่รีเทนเนอร์ ถึงแม้ว่า ในวัยเด็กอาจจะมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารจุกจิก จนบางครั้งอาจจะทำให้เผลอสวมใส่รีเทนเนอร์ขณะรับประทานอาหาร ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะสังเกตและคอยเตือนให้บุตรหลานของท่านถอดรีเทนเนอร์ก่อนการรับประทานอาหาร และควรเน้นย้ำให้สวมใส่รีเทนเนอร์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาซ้ำและต้องทำการจัดฟันใหม่

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากพาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจฟันหรือจะเป็นการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านทันตกรรมในเด็ก เพื่อให้เด็กได้มีสุขภาพช่องปากและฟัน เพราะการที่เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีก็จะช่วยทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีตามไปด้วย รวมไปถึงช่วยเสริมสร้างให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดี

หากบุตรหลานของท่านเข้ารับการรักษากับทางคลินิกบุตรหลานของท่านจะมีฟันที่สวยงาม มีรอยยิ้มที่สดใส สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขอย่างแน่นอน และถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองอยากให้เด็กมีทัศนคติที่ดีเกี่ยวสุขภาพช่องปากและฟัน ควรพาลูกหลานมาตรวจและทำฟันตั้งแต่ตอนที่เด็กยังไม่มีฟันผุหรือปวดฟัน เพราะจะทำให้เด็กไม่กลัวการทำฟันหรือกลัวทันตแพทย์ และยังเป็นโอกาสดีในการรับคำแนะนำจากทันตแพทย์ในเรื่องของวิธีการดูแลสุขภาพฟันที่ถูกต้องด้วย

12
วิธีขนย้ายตู้ เตียง หลังใหญ่ที่ยากต่อการขนย้าย รถหกล้อรับจ้างขอนแก่น

ย้ายบ้านทั้งที แต่ดันเจอของใหญ่พิเศษ! ทำยังไงดี? ย้ายบ้านอาจเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แต่เมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับการขนย้ายของใหญ่ระดับบิ๊กเบิ้ม อย่าง ตู้เสื้อผ้าหลังโต เตียงไม้สัก หรือเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่อื่น ๆ ความท้าทายก็เพิ่มขึ้นทันที ความกังวลเริ่มมายกยังไงไม่ให้พัง? ต้องถอดชิ้นส่วนไหม? ขนออกจากบ้านยังไงถ้าประตูแคบ? ไม่ต้องห่วงค่ะ เรา รถรับจ้างขอนแก่น รวบรวมเทคนิคดีดีที่จะช่วยให้ง่ายสำหรับการขนย้ายของชิ้นใหญ่ที่ยากต่อการขนย้ายให้คุณแบบครบครัน พร้อมรับมือได้อย่างมือโปร! ค่ะ


1. วางแผนล่วงหน้า – ยิ่งละเอียด ยิ่งง่าย

ก่อนจะลงมือยกของหนัก รถรับจ้างขอนแก่น สิ่งสำคัญที่สุดคือ การวางแผน วัดขนาดเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น (ความกว้าง ความยาว ความสูง) วัดประตู ช่องทางเดิน บันได หรือแม้กระทั่งลิฟต์ ถ้าของใหญ่กว่าประตูหรือทางเดิน มีความจำเป็นต้องเตรียมตัวถอดชิ้นส่วน อย่าลืมถ่ายรูปตำแหน่งประกอบชิ้นส่วนไว้ล่วงหน้า เพื่อความง่ายเมื่อต้องประกอบกลับค่ะ


2. อุปกรณ์ช่วยชีวิตที่ห้ามขาด

อุปกรณ์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ขนย้ายของ แน่นอนว่าหากคุณพยายามยกของหนักโดยไม่มีตัวช่วย อาจพังทั้งของทั้งหลังคุณ สิ่งที่ควรมีเพื่อช่วยให้การขนย้ายง่ายขึ้น รถเข็นแบบแบนหรือมีล้อ สำหรับเคลื่อนย้ายของบนทางราบเรียบ สายรัดยกของ (Lifting Straps) ลดแรงที่ไหล่และหลังป้องกันหลังของคุณได้ ถุงมือกันลื่น เพิ่มการยึดเกาะและป้องกันมือถลอก ผ้าและแผ่นกันกระแทก ป้องกันเฟอร์นิเจอร์เสียหายระหว่างย้ายค่ะ อย่าพยายามยกของหนักโดยไม่มีอุปกรณ์ช่วย เพราะเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บแน่นอน


3. ถอดแยกชิ้นส่วนเท่าที่ทำได้

ตู้ไม้ เตียงนอน หรือโซฟาแบบโมดูลาร์ ส่วนใหญ่แล้วสามารถถอดประกอบได้

    ถอดขาโต๊ะ-เตียงก่อน
    ถอดบานประตูหรือลิ้นชักของตู้
    ถอดโครงเตียงออกจากที่นอน

เก็บสกรู น็อต และอะไหล่เล็ก ๆ ไว้ในถุงซิป พร้อมเขียนป้ายชื่อให้ชัดเจน เพื่อง่ายต่อการประกอบกลับค่ะ


4. ยกของอย่างปลอดภัย – เทคนิคที่ต้องรู้

การยกของผิดท่าอาจทำให้คุณเจ็บหลังไปอีกหลายวัน เพราะฉะนั้น รถรับจ้างขอนแก่น มีเทคนิคการยกของหนักมาฝาก โดยการ ย่อตัวลงใช้ ขา ยก ไม่ใช่ หลัง ยกของใกล้ตัว อย่าหยิบของด้วยแขนเหยียดไกล หากต้องยกพร้อมกันสองคน ควรนับจังหวะให้พร้อมกัน เทคนิค ยกหลังตรง และ เดินก้าวเล็ก ๆ ช่วยลดแรงกระแทกจากการขยับตัว


5. วางแผนเส้นทางการเคลื่อนย้าย

ก่อนยกของ อย่าลืมเคลียร์พื้นที่ ย้ายสิ่งของขวางทางออกก่อน ปูผ้าใบหรือกระดาษลูกฟูกกันพื้นบ้านเป็นรอย ถ้าอยู่บนคอนโดสูง ควรตรวจสอบเวลาอนุญาตให้ขนของ และจองลิฟต์ล่วงหน้า


6. ใช้บริการมืออาชีพ ถ้ารู้สึกไม่ไหว

ถ้าเฟอร์นิเจอร์ของคุณ หนักมาก / ใหญ่พิเศษ / เสี่ยงต่อความเสียหาย การใช้บริการ ทีมขนย้ายมืออาชีพ รถรับจ้างขอนแก่น จะช่วยประหยัดแรงและเวลา แน่นอนว่าพวกเขามีอุปกรณ์ครบ อีกทั้งยังมีประสบการณ์การถอดและประกอบ บางเจ้าจะมีประกันความเสียหาย (ในกรณีของพัง) บางบริษัทรับขนย้ายแบบ แพ็กครบ ขนให้ ประกอบให้เสร็จ สบายใจยิ่งกว่าแน่นอนค่ะ

ใหญ่ไม่ใช่ปัญหา ถ้ามีแผนรับมือ ของชิ้นใหญ่ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ถ้าคุณวางแผนให้ดี มีเครื่องมือพร้อม และรู้เทคนิคการยกอย่างถูกวิธี อย่าลืมว่า ปลอดภัยไว้ก่อน ความชำนาญตามมาแน่นอน หากไม่มั่นใจ ให้มือโปรช่วยคุณจะดีที่สุด

หากคุณกำลังมองหารถรับจ้างที่ ไว้ใจได้ ราคายุติธรรม บริการมืออาชีพ เลือกเรา แล้วคุณจะไม่ผิดหวัง! รถรับจ้างขอนแก่น ไม่ว่าจะย้ายบ้าน ย้ายหอ ย้ายออฟฟิศ ย้ายร้าน ขนสินค้า ขนเฟอร์นิเจอร์ หรือแม้แต่ของชิ้นใหญ่และหนักอย่าง ตู้ เตียง โซฟา เรามีทีมงานพร้อมประสบการณ์ พร้อมรถหลากหลายขนาด ทั้ง กระบะตู้ทึบ กระบะคอก รถ 6 ล้อรับจ้าง รองรับทุกความต้องการ บริการตรงเวลา ขนของปลอดภัย มีอุปกรณ์แพ็กกันกระแทกครบ พร้อมบริการถอด-ประกอบเฟอร์นิเจอร์ เพียงแค่แจ้งล่วงหน้า พื้นที่บริการครอบคลุม ทั้งขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียง พร้อมให้คำปรึกษาฟรีก่อนตัดสินใจ ด้วยราคาที่คุยได้

13
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


14
ตรวจสุขภาพ: เมลิออยโดซิส (Melioidosis)

เมลิออยโดซิส เป็นโรคติดเชื้อรุนแรงที่พบได้ทั้งในคนและสัตว์ พบว่าประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยโรคนี้มากที่สุดในโลก และคาดการณ์ว่ามีผู้ป่วยใหม่เกิดขึ้นปีละ 2,000-3,000 ราย พบได้ทุกภาคของประเทศ แต่พบมากที่สุดทางภาคอีสาน

โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย พบมากที่สุดในกลุ่มอายุ 40-60 ปี พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 1.4 เท่า

ผู้ที่เสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อและเป็นโรคนี้ ได้แก่ เกษตรกร และผู้ที่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับการสัมผัสดินและน้ำ (เช่น ทหารที่ฝึกซ้อมในภาคสนาม หรือในการทำสงคราม)

ผู้ใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคนี้มักมีโรคประจำตัวร่วมด้วย โดยเฉพาะเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง รวมทั้งผู้ที่มีประวัติดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือใช้สเตียรอยด์ติดต่อกันนาน ๆ

โรคนี้พบได้ตลอดปี แต่จะพบมากในช่วงฤดูฝน (เดือนมิถุนายนถึงกันยายน)

โรคนี้อาจแสดงอาการได้หลายลักษณะ ทั้งเฉียบพลัน กึ่งเฉียบพลัน และเรื้อรัง บางครั้งอาจเกิดการติดเชื้อโดยไม่แสดงอาการก็ได้ (ซึ่งเชื้อจะหลบซ่อนอยู่ในร่างกาย ต่อมาภายหลังเมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ ก็จะมีอาการเกิดขึ้นได้)

นอกจากนี้ยังอาจมีอาการคล้ายโรคติดเชื้ออื่น ๆ (รวมทั้งโรคติดเชื้อร้ายแรง เช่น สแตฟีโลค็อกคัสออเรียส) วัณโรค และมะเร็งต่าง ๆ จึงได้ชื่อว่า ยอดนักเลียนแบบ

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อเมลิออยโดซิส ซึ่งเป็นแบคทีเรีย ที่มีชื่อว่า เบอร์คอลเดเรียสูโดมัลเลไอ (Burkholderia pseudomallei) เชื้ออาศัยอยู่ในดินและน้ำ ส่วนใหญ่เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่มีบาดแผล (เช่น บาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการทำงานในท้องไร่ ท้องนา บาดแผลจากอุบัติเหตุ เช่น รถชน รถคว่ำ บาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก บาดแผลจากสงคราม เป็นต้น) โดยการสัมผัสดินโคลน หรือน้ำที่มีเชื้อโดยตรง

นอกจากนี้ อาจติดต่อทางการหายใจ (เช่น การสูดหายใจเอาเชื้อเข้าปอด การสำลักน้ำเข้าปอดในผู้ป่วยที่จมน้ำ เป็นต้น) ทางการกิน (เช่น การดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ) การติดจากผู้ป่วย (คนสู่คน) โดยตรงซึ่งพบได้น้อย การติดเชื้อในห้องปฏิบัติการ และการติดเชื้อในโรงพยาบาล

เชื้อเมลิออยโดซิส เมื่อเข้าสู่ร่างกายสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อแทบทุกระบบของร่างกาย ซึ่งพบบ่อยที่สุดคือ กระแสเลือด รองลงมาคือ ปอด ผิวหนัง และเนื้อเยื่อตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบการติดเชื้อที่ช่องท้อง (ตับ ม้าม ไต ทางเดินปัสสาวะ ลำไส้ ตับอ่อน ต่อมหมวกไต เยื่อบุช่องท้อง) คอหอยและทอนซิล ต่อมน้ำลายพาโรติด ต่อมน้ำเหลือง กล้ามเนื้อ ข้อและกระดูก สมอง เป็นต้น

การติดเชื้อเมลิออยโดซิส แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ การติดเชื้อเฉพาะที่ กับการติดเชื้อในกระแสเลือด (ซึ่งยังแบ่งย่อยเป็นแบบแพร่กระจาย และแบบไม่แพร่กระจาย)

อาการ

โรคนี้มีอาการแสดงได้หลายลักษณะ

1. ถ้าเป็นแบบเฉียบพลัน มักจะมีไข้สูง หนาวสั่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน คล้ายโรคติดเชื้ออื่น ๆ (เช่น มาลาเรีย ไทฟอยด์ สครับไทฟัส เล็ปโตสไปโรซิส) และมักมีอาการของปอดอักเสบ หรือเป็นฝีกระจายไปทั่วปอด คล้ายการติดเชื้อสแตฟีโลค็อกคัสออเรียส (มีอาการไอ เจ็บหน้าอก หายใจหอบ) บางรายอาจมีการติดเชื้อของตับ (ปวดชายโครงขวา ตับโต ดีซ่าน) ม้าม (ปวดชายโครงซ้าย ม้ามโต) ไต (เป็นฝี) ผิวหนัง (ขึ้นเป็นตุ่มนูน ตุ่มหนอง เป็นฝี เป็นต้น) หรืออวัยวะอื่น ๆ ร่วมด้วย

ในรายที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดแบบแพร่กระจาย มักมีการอักเสบของอวัยวะหลายแห่งพร้อมกัน อาการจะเป็นมากขึ้นรวดเร็วภายใน 2-3 วัน จนเกิดภาวะช็อกจากโลหิตเป็นพิษ และเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมง

ในรายที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดแบบไม่แพร่กระจาย มักจะมีอาการไข้ และอาจมีการติดเชื้อของปอดและอวัยวะอื่นร่วมด้วยเพียง 1-2 แห่ง บางรายอาจไม่พบตำแหน่งติดเชื้อชัดเจน อาการมักจะไม่รุนแรงและมีการเปลี่ยนแปลงช้า โอกาสที่เกิดภาวะช็อกค่อนข้างต่ำ และมีอัตราตายต่ำ แต่บางรายอาจกลายเป็นการติดเชื้อในกระแสเลือดแบบแพร่กระจายในเวลาต่อมาก็ได้

2. ในรายที่มีการติดเชื้อเฉพาะที่ มักจะมีอาการค่อยเป็นค่อยไป เรื้อรังเป็นแรมเดือนแรมปี ผู้ป่วยอาจมีไข้ต่ำหรือไม่มีไข้ก็ได้ มักมีอาการน้ำหนักลด และมีอาการแสดงตามความผิดปกติของอวัยวะที่ติดเชื้อ (อาจเกิดเพียง 1 แห่ง หรือพร้อมกันหลายแห่ง) เช่น

    ปอด มีอาการไอเรื้อรัง น้ำหนักลด คล้ายวัณโรคปอด หรือมะเร็งปอด
    ต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอ มีอาการต่อมน้ำเหลืองข้างคอโตเรื้อรัง (อาจมีอาการปวดและแดงร้อนหรือไม่ก็ได้) คล้ายวัณโรคต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
    ผิวหนัง มีรอยโรคได้หลายแบบ อาจเริ่มด้วยก้อนนูนขนาด 1-2 ซม. อาจมีอาการเจ็บ แต่ไม่มีอาการแดงร้อน (ทำให้ไม่คิดถึงการอักเสบ) หรืออาจมีอาการของเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ การติดเชื้อของบาดแผลที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือแผลอักเสบ หรือเป็นฝีแล้วแตกออกเป็นแผล (อาจกลายเป็นแผลเรื้อรังเป็นสัปดาห์ ๆ ถึง 10 ปี) รอยโรคที่ผิวหนังอาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายแห่ง และเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของผิวกาย บางรายอาจมีภาวะโลหิตเป็นพิษแทรกซ้อนได้
    ตับ เป็นฝี เป็นก้อนบวมคลำได้ที่ใต้ชายโครงขวา
    ม้าม เป็นฝี เป็นก้อนบวมคลำได้ที่ใต้ชายโครงซ้าย
    คอหอยและทอนซิล มีอาการไข้ เจ็บคอ ทอนซิลบวมโต เป็นหนองแบบทอนซิลอักเสบ อาจมีประวัติว่าได้ยารักษาทอนซิลอักเสบมา 1-2 สัปดาห์แล้วยังไม่ดีขึ้น
    กล้ามเนื้อและกระดูก พบกล้ามเนื้ออักเสบเป็นหนอง (pyomyositis) กระดูกอักเสบเป็นหนอง (osteomyelitis) ข้ออักเสบ (ข้อบวมแดงร้อน)
    ทางเดินปัสสาวะ พบทางเดินปัสสาวะอักเสบ ฝีไต ฝีรอบไต (perirenal abscess)
    อื่น ๆ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ฝีสมอง ก้านสมองอักเสบ (brain stem encephalitis) ฝีลำไส้ เยื่อบุช่องท้องอักเสบ ฝีต่อมหมวกไต ฝีตับอ่อน เป็นต้น

ในเด็ก (อายุต่ำกว่า 14 ปี) มักจะพบต่อมน้ำลายข้างหู (พาโรติด) อักเสบเป็นหนอง (suppurative parotitis) ซึ่งไม่พบในผู้ใหญ่ มักเป็นเพียงข้างเดียว โดยมีอาการไข้ ปวดบวมบริเวณหน้าหูคล้ายคางทูม ก้อนจะบวมแดงมากขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ และอาจมีตุ่มหนองขึ้นที่ผิวหนังบริเวณที่บวม หนองไหลออกจากหูข้างเดียวกัน หรือมีหนังตาอักเสบ (periorbital cellulitis) ร่วมด้วย บางรายอาจมีการติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมด้วย ซึ่งอาจรุนแรงถึงตายได้

โดยทั่วไป การติดเชื้อเฉพาะที่มักไม่รุนแรง มักไม่เกิดภาวะช็อก และมีอัตราตายต่ำ แต่บางรายปล่อยไว้ไม่รักษา อาจมีการติดเชื้อเข้ากระแสเลือดแบบแพร่กระจายเกิดภาวะช็อก เป็นอันตรายได้

ภาวะแทรกซ้อน

ที่ร้ายแรงและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก็คือ ภาวะช็อกจากโลหิตเป็นพิษ และภาวะการหายใจล้มเหลว

อาจพบภาวะแทรกซ้อนทางปอด เช่น ภาวะมีหนองในโพรงเยื่อหุ้มปอด ภาวะมีลมในโพรงเยื่อหุ้มปอด

อาจพบภาวะแทรกซ้อนของระบบประสาท เช่น แขนขาอ่อนแรง

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ในรายที่เป็นเฉียบพลัน มักมีไข้สูง หายใจหอบ ฟังปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) อาจมีตับโต ม้ามโต (อาจกดเจ็บหรือไม่ก็ได้) ดีซ่าน หรือมีเลือดออกใต้เยื่อบุตา (subconjunctival hemorrhage) อาจพบรอยโรคที่ผิวหนัง (ตุ่มนูน ตุ่มหนอง ฝี)

ในรายที่รุนแรงมักพบภาวะช็อก

ในรายที่เป็นเรื้อรัง อาจมีไข้สูง ไข้ต่ำ ๆ หรือไม่มีไข้ก็ได้ มักมีน้ำหนักลด (ซูบผอม) ภาวะซีด และพบรอยโรคของอวัยวะที่เป็นโรค เช่น ปอด (มีเสียงกรอบแกรบ) ตับโต ม้ามโต ผิวหนัง (ตุ่มนูน ตุ่มหนอง ฝี แผลอักเสบ หรือแผลเรื้อรัง) ต่อมน้ำเหลืองโต ต่อมน้ำลายข้างหูโต (คางทูม) ทอนซิลบวมแดงเป็นหนอง ข้อบวมแดงร้อน เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (คอแข็ง)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจพบเชื้อโดยการย้อมหรือเพาะเชื้อจากเลือดหรือสิ่งคัดหลั่ง (เสมหะ ปัสสาวะ หนองจากผิวหนังหรือฝีของอวัยวะต่าง ๆ) อาจทำการทดสอบทางน้ำเหลือง (เช่น indirect hemagglutination test, ELISA) ทำการเอกซเรย์ปอด ตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้อง (ดูฝีในตับ ม้าม ไต) เจาะหลัง (ในรายที่สงสัยมีการติดเชื้อของสมอง) ตรวจเลือดดูการทำงานของตับและไต (AST, ALT, BUN, creatinine) ตรวจปัสสาวะ (ดูการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ) เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่เป็นรุนแรง แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้การดูแลตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ให้สารน้ำและเกลือแร่ ออกซิเจน ใช้เครื่องช่วยหายใจ ผ่าระบายหนอง เป็นต้น

ที่สำคัญคือต้องให้ยาปฏิชีวนะ ได้แก่ เซฟทาซิไดม์ (ceftazidime) ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ อาจให้เพียงชนิดเดียว หรือให้ร่วมกับโคไตรม็อกซาโซลเข้าหลอดเลือดดำ บางกรณีอาจให้โคอะม็อกซิคลาฟ หรือยาปฏิชีวนะชนิดอื่นแทน

เมื่อดีขึ้นจะให้ยาปฏิชีวนะชนิดกิน แบบเดียวกับที่ใช้รักษาผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงต่อไปอีก 20 สัปดาห์

2. ในรายที่อาการไม่รุนแรงหรือเป็นเรื้อรัง จะให้ยาปฏิชีวนะชนิดกิน เช่น

    โคไตรม็อกซาโซล ร่วมกับดอกซีไซคลีน
    ในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี หรือแพ้ยาข้างบน ให้โคอะม็อกซิคลาฟ

เมื่ออาการดีขึ้น (มักใช้เวลาประมาณ 10 วันหลังจากเริ่มให้ยา) ควรให้กินติดต่อกันนาน 20 สัปดาห์

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค ถ้ามีอาการรุนแรงและเพาะเชื้อจากเลือดให้ผลบวก (ภาวะโลหิตเป็นพิษ) มีอัตราตายร้อยละ 40-75

ถ้ามีการติดเชื้อหลายแห่ง แต่เพาะเชื้อจากเลือดให้ผลลบ มีอัตราตายประมาณร้อยละ 20

ถ้ามีการติดเชื้อเฉพาะที่เพียง 1 แห่ง มีอัตราตายต่ำ ส่วนใหญ่มักจะหายเป็นปกติ

ผู้ป่วยต้องกินยานาน 20 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการกลับกำเริบใหม่ พบว่าถ้าให้ยาน้อยกว่า 8 สัปดาห์ มีอัตราการกลับกำเริบใหม่ร้อยละ 23 และผู้ป่วยกลุ่มนี้มีอัตราตายประมาณร้อยละ 27

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูงร่วมกับอาการหนาวสั่น หรือมีไข้เรื้อรังเป็นสัปดาห์ ๆ ไอเรื้อรัง น้ำหนักลด ต่อมน้ำเหลืองโต แผลเรื้อรัง เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นเมลิออยโดซิส ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    กินยาปฏิชีวนะให้ครบตามระยะที่แพทย์กำหนด (อาจนานถึง 20 สัปดาห์) ถึงแม้อาการดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 10 วัน
    มีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ซึมมาก ไม่ค่อยรู้สึกตัว เพ้อคลั่ง ชัก หรือแขนขาอ่อนแรง
    หายใจหอบ หรือเจ็บหน้าอกมาก
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการป้องกันโรคนี้อย่างได้ผล

สำหรับพื้นที่ที่มีโรคนี้ชุกชุม ผู้ที่เป็นเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง และผู้ที่มีบาดแผลตามร่างกาย อาจลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเมลิออยโดซิส โดยการหลีกเลี่ยงการย่ำน้ำที่ท่วมขังหรือพื้นดินที่ชื้นแฉะ หรือลงแช่น้ำในห้วยหนองคลองบึง ถ้าต้องเดินย่ำน้ำหรือพื้นดินที่ชื้นแฉะ (ตามตรอก ซอย คันนา ท้องนา ท้องไร่) ให้ใส่รองเท้าบู๊ตหรือรองเท้าหุ้มข้อ

อย่างไรก็ตาม ผู้เป็นกลุ่มเสี่ยง (เช่น ผู้ที่เป็นเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง ดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือใช้สเตียรอยด์นาน ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีโรคนี้ชุกชุม) ให้เฝ้าระวังการเกิดโรคนี้ ถ้ามีอาการน่าสงสัยก็ควรรีบปรึกษาแพทย์ให้การรักษาแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลามและการเกิดภาวะแทรกซ้อน

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มีอาการคล้ายโรคติดเชื้อหลายชนิด ทุกครั้งที่วินิจฉัยแยกแยะอาการของโรคติดเชื้อ (เช่น ไข้ ไอ รอยโรคที่ผิวหนัง เป็นต้น) ควรคิดถึงโรคนี้ไว้ด้วยเสมอ โดยเฉพาะในผู้ที่อยู่ทางภาคอีสานและมีโรคเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง ดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือใช้ยาสเตียรอยด์มานาน ๆ หรือในกรณีให้การรักษาโรคติดเชื้ออื่น ๆ (เช่น คางทูม ทอนซิลอักเสบ ฝี แผล ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ข้ออักเสบ เป็นต้น) แล้วไม่ดีขึ้น ก็อาจเกิดจากโรคนี้ก็ได้

ในรายที่มีไข้และไอเรื้อรัง น้ำหนักลด ต้องแยกระหว่างวัณโรคปอดกับเมลิออยโดซิส ถ้าตรวจไม่พบเชื้อวัณโรคในเสมหะ หรือให้ยารักษาวัณโรคแล้วไม่ดีขึ้น ก็อาจเกิดจากเมลิออยโดซิสได้

2. โรคนี้บางครั้งมีอาการคล้ายมะเร็ง คือ น้ำหนักลดรวดเร็ว และมีก้อนบวม (เช่น ต่อมน้ำเหลืองโต คลำได้ก้อนตับหรือม้ามที่ค่อย ๆ โตขึ้น) นานเป็นแรมเดือนแรมปี หากผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นเมลิออยโดซิส ก็ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจยืนยัน และถ้าเป็นโรคนี้จริงก็สามารถให้การรักษาให้หายขาดได้

3. ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ จำเป็นต้องรักษาอย่างจริงจังและกินยาต่อเนื่องนาน 20 สัปดาห์ หากกินไม่สม่ำเสมอหรือกินไม่ครบตามกำหนด ก็อาจมีอาการกำเริบใหม่ได้ (มักเกิดภายใน 21 สัปดาห์ หลังหยุดยา บางรายอาจนานถึง 5 ปีกว่า) ผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบใหม่อาจเกิดอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

15
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส ช่วยทำให้หน้าเล็กลงจริงไหม

กาจัดฟันแบบใส เป็นการจัดฟันที่ต้องบอกว่า เป็นนวัตกรรมรูปแบบใหม่ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะการจัดฟันแบบใสนั้น มีข้อดีมากมายและยังเป็นการจัดฟันที่มีจุดเด่นที่ต่างจากการจัดฟันในรูปแบบอื่นๆ  ด้วยเครื่องมือการจัดฟันที่สามารถถอดออกได้ง่าย และต้องถอดออกขณะรับประทานอาหาร ซึ่งการรับประทานอาหารกับการจัดฟันนั้น ถือว่าเป็นปัญหาของหลายๆคน เพราะอาจจะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถรับประทานอาหารได้ไม่สะดวก เนื่องจากมีเครื่องมือการจัดฟันอยู่ภายในช่องปากและจะต้องจำกัดในเรื่องของการรับประทานอาหารด้วย เพราะการรับประทานอาหารสำหรับผู้เข้ารับการจัดฟันแล้วอาจจะต้องระมัดระวังในเรื่องของเครื่องมือการจัดฟันที่ติดอยู่ภายในช่องปาก หลายคนกังวลว่าอาจจะหลุดได้ ซึ่งอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

ดังนั้นผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องระวังในเรื่องของการรับประทานอาหาร แต่การจัดฟันแบบใสนั้น ผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันออกได้ ดังนั้น จะทำให้การรับประทานอาหารมีความสุขมากยิ่งขึ้น นี่คือข้อดีที่ทำให้การจัดฟันแบบใสต่างจากการจัดฟันในรูปแบบอื่นๆ นอกจากนี้ หลายคนเกิดความสงสัยว่า การจัดฟันแบบใส สามารถทำให้หน้าของเราเล็กลงจริงหรือไม่ ต้องบอกเลยว่า การจัดฟันนั้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดฟันในรูปแบบไหน ถือว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หน้าเรียวเล็กลง โดยเฉพาะในกรณีที่กัดฟันลงมาแล้วจุดค้ำยัน อยู่ในจุดที่เตี้ย โดยจะส่งผลให้โครงหน้าดูสั้น ซึ่งการทำให้จุดค้ำยันอยู่ในจุดที่สูงขึ้นโครงหน้าก็จะดูยาวขึ้นและเรียวขึ้น แถมการจัดฟันยังช่วยปรับแก้ใบหน้าได้ในอีกหลายๆ รูปแบบ เช่น ริมฝีปากอูมหรือคางยื่น เพราะเมื่อมีการขยับรูปแบบฟัน รูปปากก็จะเปลี่ยนไปด้วย ซึ่งก่อนการจัดฟันคุณหมอจะวิเคราะห์โครงสร้างฟันของคนไข้ก่อนว่าจัดฟันแล้วจะสามารถแก้ไขโครงหน้าได้ด้วยหรือไม่

ซึ่งวันนี้เราจะพูดถึงเรื่องของโครงสร้างของใบหน้าที่อาจจะเปลี่ยนไปหลังจากที่เข้ารับการจัดฟันแบบใส ซึ่งบางคนที่มีปัญหาในเรื่องของโครงสร้างของใบหน้า ก็อาจจะเลือกใช้วิธีการจัดฟัน เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพราะการเข้ารับการจัดฟันสามารถช่วยทำให้ฟันที่มีอยู่ในปากเป็นระเบียบสวยงามได้รูป หากผู้เข้ารับการรักษามีฟันซี่ใดมีลักษณะบิดโค้งหรือไม่สบกัน ที่ส่งผลต่อรูปหน้าโดยตรง รวมทั้งสร้างปัญหาในการบดเคี้ยวอาหารและการใช้ชีวิตประจำวันได้ ซึ่งบางคนก็มีปัญหาจากการที่ฟันบนไม่สบกับฟันล่าง ส่งผลให้การกัดเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทั้งยังส่งผลให้ขากรรไกรเกิดการขยับตัวอย่างไม่เป็นระบบขณะทำการบดเคี้ยวอาหารอีกด้วย ถึงแม้ว่า การจัดฟันไม่ได้มีผลให้หน้าเรียวโดยตรง.

แต่การจัดฟันอาจจะทำให้ระหว่างจัดฟันไม่สามารถบดเคี้ยวอาหารได้มากเท่าเมื่อก่อน จึงทำให้ใบหน้าดูเล็กลง หรือในบางกรณีที่เป็นการจัดฟันร่วมกับการถอนฟัน ก็อาจจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปใบหน้า เช่น การดึงฟันล่างเข้า ทำให้คางชัดขึ้น หรือการดึงฟันบนเข้า ทำให้จมูกดูโด่งขึ้นได้นั่นเอง สำหรับใครที่มีความคิดอยากจะเข้ารับการจัดฟันแบบใส เพื่อที่อยากจะปรับโครงสร้างของใบหน้า เราก็จะต้องปรึกษาทันตแพทย์ก่อน ต้องตรวจสอบก่อนว่า ลักษณะฟันในรูปแบบใดที่เข้ารับการจัดฟันแล้ว จะส่งผลให้รูปหน้าเปลี่ยน เพื่อที่จะได้ทราบถึงปัญหาในเบื้องต้นก่อนด้วย สำหรับคนที่มีฟันหน้ายื่นมากจนทำให้ปากอูม หลังการจัดฟันจะทำให้ฟันยุบลง ปากก็จะยุบลงตามไปด้วย จึงให้รูปหน้าเปลี่ยนไป อาจส่งผลทำให้จมูก โหนกแก้ม และคางเด่นขึ้นได้อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ คนที่มีฟันห่างกันเป็นช่อง หรือฟันซ้อนกัน เมื่อฟันเรียงตัวขึ้น พอยิ้มก็จะทำให้ดูดีขึ้น ต่อมาคือ คนที่มีฟันบนคร่อมฟันล่าง เมื่อจัดฟันเสร็จแล้วจะทำให้มองเห็นฟันล่างได้ชัดขึ้น ซึ่งทำให้ใบหน้าดูยาวมากขึ้นได้ หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ จึงมั่นใจได้ว่า คุณจะกลับมามีฟันที่สวยงาม รวมไปถึงโครงสร้างหน้าที่ดูเรียว ดูเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดอย่างแน่นอน

หน้า: [1] 2 3 ... 36