แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 32
1
อาการของโรค: ตะคริว (Muscle cramps)

ตะคริว หมายถึงอาการเกร็งตัว ทำให้มีอาการปวดและเป็นก้อนแข็งของกล้ามเนื้อ ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันและเป็นอยู่เพียงชั่วขณะก็ทุเลาไปได้เอง อาจเกิดที่กล้ามเนื้อส่วนใด ๆ ของร่างกายก็ได้ ที่พบได้บ่อย ได้แก่ กล้ามเนื้อน่องและต้นขา

อาจมีอาการขณะออกกำลังกาย ขณะเดิน ขณะนั่งพักหรือนอนพักก็ได้ บางรายอาจมีอาการตะคริวที่ขาขณะนอนหลับตอนกลางคืนจนสะดุ้งตื่น เรียกว่า ตะคริวที่ขาตอนกลางคืน (nocturnal leg cramps)

บางรายอาจเป็นตะคริวขณะออกกำลังหรือทำงานในที่ที่อากาศร้อน เรียกว่า ตะคริวจากความร้อน (heat cramps)

ตะคริวเป็นภาวะที่พบได้บ่อยมาก พบได้ในคนทุกวัย

ส่วนตะคริวที่ขาตอนกลางคืนพบได้บ่อยในคนวัยกลางคนและวัยสูงอายุ


สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน

ส่วนน้อยที่ทราบสาเหตุ มักเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อมากเกินหรือจนเมื่อยล้า การออกกำลังกายที่ใช้แรงหรือติดต่อกันนาน ๆ (เช่น วิ่งทางไกล ว่ายน้ำ เล่นกีฬา) การออกกำลังหรือทำงานในที่ที่อากาศร้อน ภาวะขาดน้ำ (จากท้องเดินหรืออาเจียน) การยืน นั่ง หรือทำงานอยู่ในท่าเดิมติดต่อกันนาน ๆ

นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น

    ภาวะเกลือแร่ (เช่น โซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม) ในเลือดต่ำ
    ภาวะการตั้งครรภ์ เนื่องจากระดับแคลเซียมในเลือดต่ำหรือการไหลเวียนของเลือดไปที่ขาไม่สะดวก
    โรคหลอดเลือดแดงขาตีบ (พบบ่อยในผู้สูงอายุ ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่จัด) อาจเป็นตะคริวที่ขา (บริเวณน่อง) บ่อย ขณะออกกำลังหรือเดินไกลหรือเดินนาน หรือเป็นตะคริวที่ขาตอนกลางคืน (ขณะที่อากาศเย็นตอนดึกหรือเช้ามืด เนื่องจากการไหลเวียนของเลือดไปที่ขาไม่ดี) และ/หรือมีอาการปวดน่อง 1-2 ข้างเวลาเดินไปสักพัก และทุเลาเองเมื่อหยุดเดิน (เมื่อเดินต่อก็มีอาการแบบเดิมอีก) (ดู "โรคหลอดเลือดแดงขาตีบ" ประกอบ)
    โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ มักมีอาการปวดหลัง ปวดเสียวหรือชาที่ขา และปวดน่องเวลาเดินไปสักพักแบบเดียวกับโรคหลอดเลือดแดงขาตีบ บางรายอาจมีอาการเป็นตะคริวที่ขาตอนกลางคืน (ดู "โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ" ประกอบ)
    การใช้ยา เช่น ยาขับปัสสาวะ (ไฮโดรคลอโรไทอาไซด์, ฟูโรซีไมด์), ยาลดไขมัน (ยากลุ่มสแตติน), ยาลดความดัน (ไนเฟดิพีน), ยาขยายหลอดลม (ซาลบูทามอล, เทอร์บูทาลีน), ยารักษาเบาหวาน (เมตฟอร์มิน), ยาแก้ซึมเศร้า (ฟลูออกซีทิน), ยาเม็ดคุมกำเนิด, ยาสเตียรอยด์, ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (naproxen, celecoxib), ยารักษาโรคกระเพาะ (lansoprazole), ยาแก้แพ้ (cetirizine), ยารักษาปลายประสาทอักเสบ (gabapentin) เป็นต้น
    พบร่วมกับโรคหรือภาวะอื่น ๆ เช่น เบาหวาน โรคพาร์กินสัน ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โรคพิษสุราเรื้อรัง โลหิตจาง ภาวะขาดไทรอยด์ ภาวะขาดพาราไทรอยด์ (hypoparathyroidism) ตับแข็ง ไตวาย เป็นต้น


อาการ

ผู้ป่วยรู้สึกกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง (เช่น น่องหรือต้นขา) มีการแข็งตัวและปวดมาก เอามือคลำดูจะรู้สึกแข็งเป็นก้อน ถ้าพยายามขยับเขยื้อนกล้ามเนื้อส่วนนั้นจะทำให้ยิ่งแข็งตัวและปวดมากขึ้น การนวดและยืดกล้ามเนื้อส่วนนั้น จะช่วยให้ตะคริวหายเร็วขึ้น

มักมีอาการเกิดขึ้นขณะออกกำลังกาย ขณะเดินนั่งพัก หรือนอนพัก

ถ้าเป็นขณะนอนหลับ ผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดจนสะดุ้งตื่น

โดยทั่วไปจะเป็นอยู่เพียงชั่วขณะ (นานไม่กี่วินาที ถึง 10-15 นาที) ก็หายได้เอง และไม่มีความผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย เมื่อหายแล้วผู้ป่วยจะรู้สึกปกติทุกอย่าง

ถ้าเป็นรุนแรง อาจมีอาการตะคริวติด ๆ กันหลายครั้ง หรือเคลื่อนไหวหรือเกร็งกล้ามเนื้อเพียงเล็กน้อยก็กระตุ้นให้เกิดอาการขึ้นได้

ผู้ที่เขียนหนังสือติดต่อกันนาน ๆ ก็อาจเกิดตะคริวที่นิ้วหรือมือ เรียกว่า ตะคริวนักเขียน (writer’s cramps หรือ graphospasm) ซึ่งก็อาจพบในช่างทาสี หรือเกษตรกรที่ใช้มือจับหยิบอุปกรณ์ใช้งานนาน ๆ


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่มักเป็นชั่วขณะแล้วทุเลาไปได้เอง ไม่มีอันตรายร้ายแรง

หากเป็นติดต่อกันนาน ๆ ขณะเล่นกีฬาหรือว่ายน้ำ อาจทำให้หกล้มหรือจมน้ำได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและตรวจพบกล้ามเนื้อเกร็งแข็ง


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ขณะที่พบผู้ป่วยเป็นตะคริว แพทย์จะทำการแก้ไขโดยการยืดกล้ามเนื้อส่วนนั้นให้ตึง เช่น

    ถ้าเป็นตะคริวที่น่องจะเหยียดหัวเข่าตรงและดึงปลายเท้ากระดกเข้าหาหัวเข่าให้มากที่สุด
    ถ้าเป็นตะคริวที่ต้นขาจะเหยียดหัวเข่าตรง ยกเท้าขึ้นให้พ้นจากเตียงเล็กน้อยและกระดกปลายเท้าลงล่าง (ไปทางด้านตรงข้ามกับหัวเข่า)

นอกจากนี้ อาจใช้มือนวดคลึงเบา ๆ ตรงกล้ามเนื้อที่เป็นตะคริว หรือประคบด้วยน้ำอุ่นจัด ๆ

2. ถ้าเป็นตะคริวขณะเข้านอนตอนกลางคืนบ่อย ๆ (เช่น หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ) ก่อนนอนควรดื่มนมให้มากขึ้นและยกขาสูง (ใช้หมอนรอง) จากเตียงประมาณ 10 ซม. (4 นิ้ว) ในหญิงตั้งครรภ์อาจให้ยาเม็ดแคลเซียมแลกเทต กินวันละ 1-3 เม็ด

3. ถ้าเป็นตะคริวจากระดับโซเดียมในเลือดต่ำ (เช่น เกิดจากท้องเดิน อาเจียน ออกกำลังหรือทำงานในที่ที่อากาศร้อน เหงื่อออกมาก) ควรให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ ถ้าดื่มไม่ได้ ควรให้น้ำเกลือนอร์มัลทางหลอดเลือดดำ

4. ถ้ามีอาการมือเท้าจีบเกร็งพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง มักเกิดจากกลุ่มอาการระบายลมหายใจเกิน ก็ให้การรักษาตามสาเหตุ (ดู "กลุ่มอาการระบายลมหายใจเกิน")

5. ถ้าเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นขณะเดินนาน ๆ หรือขณะนอนหลับ แพทย์จะตรวจหาสาเหตุ (เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ เป็นต้น) และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ (เช่น เบาหวาน ไตวาย ตับแข็ง โลหิตจาง โรคหลอดเลือดแดงขาตีบ โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ โรคพาร์กินสัน ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ภาวะขาดไทรอยด์ โรคแอดดิสัน เป็นต้น)

ในรายที่เป็นตะคริวตอนกลางคืนโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน แพทย์จะให้กินยา เช่น ไดเฟนไฮดรามีน (diphenhydramine) เวราพามิล (verapamil) หรือดิลไทอะเซม (diltiazem) ก่อนนอนทุกคืน อาจช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริวขณะเข้านอนได้


การดูแลตนเอง

ขณะที่เป็นตะคริว ให้นั่งหรือนอนพัก แล้วทำการแก้ไขดังนี้

    ทำการยืดกล้ามเนื้อส่วนนั้นให้ตึง เช่น

       - ถ้าเป็นตะคริวที่น่องให้เหยียดหัวเข่าตรงและดึงปลายเท้ากระดกเข้าหาหัวเข่าให้มากที่สุด

       - ถ้าเป็นตะคริวที่ต้นขาให้เหยียดหัวเข่าตรง ยกเท้าขึ้นให้พ้นจากเตียงเล็กน้อยและกระดกปลายเท้าลงล่าง (ไปทางด้านตรงข้ามกับหัวเข่า)

    ใช้มือนวดคลึงเบา ๆ ตรงกล้ามเนื้อที่เป็นตะคริว
    ประคบด้วยน้ำอุ่นจัด ๆ 
    ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว (ถ้ามีภาวะขาดน้ำ หรือปัสสาวะออกน้อย)
    ถ้าปวดมาก กินยาแก้ปวด-พาราเซตามอล หรือประคบเย็น

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ให้การแก้ไขเบื้องต้นแล้วยังไม่ทุเลา
    มีอาการกำเริบสัปดาห์ละหลายครั้ง หรือเป็นตะคริวตอนกลางคืนแทบทุกคืน หรือทำให้นอนไม่พอ
    มีอาการน้ำหนักขึ้นหรือน้ำหนักลด ซีด ใจสั่น มือสั่น แขนขาเกร็ง อ่อนล้า เหนื่อยง่าย ปัสสาวะบ่อย หน้าบวมฉุ ท้องบวม เท้าบวม หรือขาอ่อนแรง
    มีอาการปวดเสียวหรือชาที่ขาร่วมด้วย หรือสงสัยเป็นโรคหลอดเลือดแดงขาตีบ โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ
    มีประวัติเป็นเบาหวาน โรคไทรอยด์ โรคตับ โรคไต หรือพาร์กินสัน
    สงสัยตั้งครรภ์ หรือมีสาเหตุจากผลข้างเคียงของยา

ควรปรึกษาแพทย์ทันที ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการปวดตะคริวรุนแรง หรือมีอาการนานเกิน 30 นาที
    กล้ามเนื้อบริเวณที่เป็นตะคริว มีอาการบวม แดง ร้อน และกดเจ็บ
    มีภาวะขาดน้ำรุนแรง (มีอาการปากแห้ง ลิ้นแห้ง ไม่มีน้ำลาย ผิวหนังแห้ง ปัสสาวะออกน้อย อ่อนล้า ใจสั่น เวียนหัว หน้ามืด มือเท้าเย็น)
    สงสัยว่าเป็นไตวายเฉียบพลัน (มีอาการปัสสาวะเป็นสีโคล่า หรือปัสสาวะออกน้อยมากหรือไม่ออกเลย ร่วมกับ มีอาการอ่อนล้า หอบเหนื่อย สับสน คลื่นไส้หรืออาเจียน หรือเท้าบวม)
    สงสัยเป็นโรคลมร้อน โรคลมแดด หรือฮีตสโตรก (มีไข้สูง ร่วมกับมีอาการสับสนหรือชัก)


การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการออกกำลังหรือใช้กล้ามเนื้อมากเกิน

2. ป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยการดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว และควรดื่มน้ำให้เพียงพอก่อนออกกำลังกาย

3. ป้องกันการขาดโพแทสเซียม โดยการกินผลไม้ (เช่น กล้วย ส้ม) เป็นประจำ หรือในรายที่ใช้ยาขับปัสสาวะติดต่อกันนาน ๆ ควรเสริมด้วยยาโพแทสเซียมคลอไรด์

4. ดื่มน้ำผลไม้หรือสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ ก่อนและระหว่างออกกำลังหรือทำงานในที่ที่อากาศร้อน หรือมีเหงื่อออกมาก

5. ทำการบริหารยืดกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกาย

6. ผู้ที่เป็นตะคริวตอนกลางคืน ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายตอนกลางคืน และก่อนนอนควรทำการบริหารยืดกล้ามเนื้อหรือขี่จักรยานนาน 2-3 นาที หรือกินยาป้องกันตามคำแนะนำของแพทย์


ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่เป็นตะคริวมักจะมีอาการไม่รุนแรงและหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ สำหรับผู้ที่มีอาการกำเริบบ่อย หรือมักเป็นตะคริวตอนกลางคืน ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมีโรคที่เป็นสาเหตุของการเป็นตะคริวได้ ซึ่งจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

2. ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่มานาน ที่เป็นตะคริวบ่อย และ/หรือมีอาการปวดน่อง 1-2 ข้างเวลาเดินไปสักพัก และทุเลาเองเมื่อหยุดเดิน (เมื่อเดินต่อก็มีอาการแบบเดิมอีก) เป็นประจำ อาจเป็นอาการแสดงของ โรคหลอดเลือดแดงขาตีบ ซึ่งอาจมีโรคหลอดเลือดหัวใจหรือหลอดเลือดสมองตีบร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ

3. ผู้ที่เป็นตะคริวบ่อย มีอาการปวดน่อง 1-2 ข้างเวลาเดินไปสักพัก (ทุเลาเองเมื่อหยุดเดิน) และมีอาการปวดหลังร่วมกับมีอาการปวดเสียวหรือชาที่ขา อาจเป็นโรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการตรวจรักษาแต่เนิ่นๆ

2
ข้อเสียของการจัดฟันเด็ก

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ถือว่าเป็นเรื่องที่ผู้ปกครองแม่ควรเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพราะฟันน้ำนมของเด็กนั้น มีความสำคัญมาก เนื่องจากฟันน้ำนมคือเครื่องมือการรักษาช่องว่างตามธรรมชาติในขากรรไกร เพื่อกันพื้นที่ให้ฟันแท้ขึ้นมาได้ พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่คิดว่าฟันน้ำนมไม่มีความสำคัญ หากเด็กต้องสูญเสียฟันน้ำนมหรือถอนออกก็คงไม่เป็นไร แต่ความจริงแล้ว หากต้องเสียฟันน้ำนมก่อนวัยอันควรเช่น ถ้าพ่อแม่พาบุตรหลานไปถอนฟันน้ำนมทิ้ง ก็อาจจะทำให้ฟันซี่อื่นๆ เคลื่อนตัวเข้ามาในช่องว่างระหว่างฟัน ทำให้ฟันแท้ที่ขึ้นมาอาจจะขาดพื้นที่และไม่สามารถงอกขึ้นมาได้ตามธรรมชาติ ซึ่งนี่อาจจะเป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติของขากรรไกรและการสบฟันของเด็กได้


ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองควรจะหมั่นสังเกตบุตรหลานของท่านว่ามีการสบฟันที่ผิดปกติหรือไม่ ถ้าหากมีปัญหาดังกล่าว ก็ควรได้รับการตรวจจากทันตแพทย์เพื่อทำการแก้ไข สำหรับสัญญาณของความผิดปกติของการสบฟันนั้น ยกตัวอย่างเช่น ฟันซ้อนหรือฟันขึ้นผิดตำแหน่ง ฟันซ้อนเก ฟันสบลึก หรือเด็กมีพฤติกรรมการบดเคี้ยวอาหารได้ลำบากและชอบหายใจทางปาก ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นสัญญาณของการสบฟันที่ผิดปกติ พ่อแม่ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานของท่านถ้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา โดยการรักษาการสบฟันที่ผิดปกตินั้น


มักนิยมใช้วิธีการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพราะการจัดฟันในเด็ก สามารถช่วยทำให้เด็กมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม นอกจากนี้  ถ้าเด็กได้รับการรักษาด้วยการจัดฟัน ก็จะมีผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการจัดฟันตอนโต แต่อย่างไรก็ตาม การจัดฟันในเด็กก็ยังมีข้อเสียนั้นก็คืออาจจะทำให้บุตรหลานของท่านใช้ชีวิตประจำวันได้ยากกว่าปกติ แต่ไม่ต้องกังวลในข้อนี้ เพราะถ้าหากเด็กปรับตัวที่จะอยู่ร่วมกับการใช้เครื่องมือการจัดฟันได้ ปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดไป

สำหรับวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงข้อเสียของการจัดฟันในเด็ก ซึ่งอาจจะทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนมีความกังวลถึงผลเสียที่จะตามมา ถ้าหากลูกน้อยของท่านจัดฟันตั้งแต่ตอนเด็ก แต่ต้องบอกก่อนว่าการจัดฟันในเด็กนั้น เป็นการแก้ไขฟันที่มีประสิทธิภาพและก็มีข้อดีเช่นเดียวกัน เพราะจะทำให้เด็กรู้จักรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันและตระหนักถึงปัญหาฟัน หากเราดูแลสุขภาพช่องปากและฟันไม่ดี สำหรับข้อเสียของการจัดฟันในเด็ก อย่างแรกเลยคืออาจทำให้เด็กไม่สามารถทำกิจกรรมที่มีการปะทะได้ เนื่องจากในวัยเด็ก อาจจะมีการเล่นกีฬาหรือร่วมกิจกรรมที่อาจจะมีการปะทะบ้าง ถือเป็นเรื่องที่มักจะพบเจอได้บ่อย


ดังนั้น เด็กอาจจะต้องระมัดระวังในเรื่องของการเล่นกีฬาหรือการร่วมกิจกรรม เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ เนื่องจากมีเครื่องมือการจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งก็คือในขณะที่เด็กมีเครื่องมือจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก ก็อาจจะทำให้ทำความสะอาดฟันได้ยากและเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุได้ถ้าไม่ดูแลรักษาความสะอาดให้ดี และในขณะรับประทานอาหาร เศษอาหารอาจจะเข้าไปติดที่เหล็กจัดฟันได้ อาจจะทำให้เสียบุคลิกภาพได้ และเป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุและมีกลิ่นปาก ต่อมาการพูดหรือออกเสียงไม่ชัด ซึ่งในข้อนี้ถือเป็นปัญหาของเด็กหลายๆคนที่เข้ารับการจัดฟัน แต่ก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะการพูดไม่ชัดจะเกิดขึ้นในระยะแรกหลังจากการจัดฟันและข้อเสียอีกอย่างหนึ่งก็คือเด็กอาจจะไม่ได้รับประทานอาหารได้อย่างหลากหลายมากนัก เพราะจะต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีความอ่อนนุ่ม เพื่อลดปัญหาของการเสียหายของเครื่องมือจัดฟันนั่นเอง


ทั้งหมดนี้ก็ถือว่าเป็นข้อเสียของการจัดฟันในเด็กที่อาจจะกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเด็กได้ แต่ก็สามารถแก้ไขได้ หากเด็กปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจอยากให้บุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็ก สามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้อง ทำให้มั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

3
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


4
เที่ยววัดพืชอุดม วัดสวย ปทุมธานี ชมนรกสวรรค์จำลอง สุดอลังการ

วัดพืชอุดม ตั้งอยู่ที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เป็นวัดที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงจาก "เมืองนรก-สวรรค์จำลอง" แห่งแรกในประเทศไทย

จุดเด่นของวัด
นรก-สวรรค์จำลอง: ภายในวิหารขนาดใหญ่มีการจัดแสดงเรื่องราวของนรกสวรรค์ 31 ภูมิ โดยชั้นล่างจะจำลองแดนนรกด้วยหุ่นที่เคลื่อนไหวด้วยกลไกและมีเสียงประกอบ ส่วนชั้นบนจะแสดงภาพเขียนเกี่ยวกับสวรรค์และพรหมภูมิ

พระพุทธรูป: ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปประธานปางมารวิชัยให้กราบไหว้ขอพรเพื่อให้ชนะกิเลสและอุปสรรคต่างๆ


การเดินทาง
ที่ตั้ง: 25 หมู่ 9 ตำบลพืชอุดม อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี

เวลาทำการ:

วันเสาร์-อาทิตย์: 07.30 - 17.30 น.

วันจันทร์-ศุกร์: 08.00 - 17.00 น.








5
วิธีหาอาชีพเสริม รายได้พิเศษด้วยการขายอาหารทำเองเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการทำอาหารของคุณให้เกิดประโยชน์

ในโลกทุกวันนี้ ผู้คนจำนวนมากมองหาวิธีที่จะสร้างรายได้พิเศษและหนึ่งในทางเลือกที่ทำได้จริงและคุ้มค่าที่สุดคือการขายอาหารที่บ้าน ไม่ว่าคุณจะมีความหลงใหลในการทำอาหารหรือต้องการเปลี่ยนทักษะการทำอาหารของคุณให้กลายเป็นธุรกิจ การขายอาหารจากที่บ้านอาจเป็นโอกาสที่ดีได้ การหารายได้เสริมจากการขายอาหารทำที่บ้านเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการใช้ทักษะการทำอาหารของคุณให้เกิดประโยชน์

การสร้างรายได้เพิ่มเติมนี่คือวิธีที่คุณสามารถเริ่มต้นและทำให้ธุรกิจอาหารที่บ้านของคุณประสบความสำเร็จ

1. เลือกอาหารที่เหมาะสมในการขาย
การเลือกประเภทอาหารที่ถูกต้องเป็นขั้นตอนแรก โปรดพิจารณาสิ่งต่อไปนี้:
สินค้าที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการเช่น เบเกอรี่ อาหารเพื่อสุขภาพ ขนมขบเคี้ยว หรืออาหารจานโฮมเมดแบบดั้งเดิม
อาหารที่เหมาะกับทักษะของคุณ – เน้นไปที่อาหารที่คุณทำดีที่สุดและอาหารที่ผู้คนชื่นชอบ
อายุการเก็บรักษาที่ยาวนานและบรรจุภัณฑ์ที่สะดวก – หากคุณวางแผนจะขายทางออนไลน์หรือจัดส่ง โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าอาหารยังคงมีความสด

2. เข้าใจกฎระเบียบด้านอาหารในท้องถิ่น
ก่อนเริ่มต้น ควรตรวจสอบกฎหมายด้านอาหารในพื้นที่ของคุณก่อน สถานที่บางแห่งกำหนดให้ต้องมีใบอนุญาตหรือการตรวจสอบด้านสุขภาพสำหรับธุรกิจอาหารที่ทำที่บ้าน การปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความปลอดภัยของอาหารจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายและสร้างความไว้วางใจจากลูกค้าได้

3. ตั้งค่าธุรกิจของคุณ
หากต้องการให้ธุรกิจอาหารของคุณประสบความสำเร็จ โปรดพิจารณาขั้นตอนสำคัญเหล่านี้:
สร้างแบรนด์ – เลือกชื่อและออกแบบโลโก้ที่เรียบง่ายเพื่อดึงดูดลูกค้า
กำหนดราคาของคุณ – คำนวณต้นทุนส่วนผสม แรงงาน และบรรจุภัณฑ์เพื่อกำหนดราคาที่สามารถแข่งขันได้
ตัดสินใจเลือกช่องทางการขาย – คุณสามารถขายผ่านโซเชียลมีเดีย แอปส่งอาหาร หรือตลาดท้องถิ่น

4. โปรโมตอาหารโฮมเมดของคุณ
การตลาดเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จ ต่อไปนี้เป็นวิธีส่งเสริมธุรกิจของคุณ:
ใช้โซเชียลมีเดีย – แพลตฟอร์มเช่น Facebook, Instagram และ TikTok สามารถช่วยจัดแสดงอาหารของคุณได้
เสนอตัวอย่างและโปรโมชั่น – ให้ลูกค้าที่สนใจได้ชิมอาหารของคุณและมอบส่วนลดพิเศษ
กระตุ้นการตลาดแบบปากต่อปาก – ลูกค้าที่พึงพอใจสามารถช่วยกระจายข่าวสารเกี่ยวกับธุรกิจของคุณได้

5. ให้บริการลูกค้าอย่างดีเยี่ยม
การบริการลูกค้าที่ดีเยี่ยมทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำ ตอบคำถามอย่างรวดเร็ว รักษาคุณภาพอาหาร และจัดส่งตรงเวลา ลูกค้าที่พึงพอใจมีแนวโน้มที่จะแนะนำธุรกิจของคุณให้กับผู้อื่น

การขายอาหารทำเองที่บ้านเป็นช่องทางที่ทำกำไรและสนุกสนานในการหารายได้พิเศษได้ การเลือกอาหารที่ถูกต้อง ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ และให้บริการลูกค้าอย่างยอดเยี่ยม จะช่วยให้คุณสร้างธุรกิจอาหารที่บ้านที่ประสบความสำเร็จได้ เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ และขยายธุรกิจของคุณตามจังหวะของคุณเอง


6
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ไข้หวัด (Common cold/Upper respiratory tract infection/URI)

ไข้หวัด เป็นโรคที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ บางคนอาจเป็นปีละหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็กที่เพิ่งฝากเลี้ยงในสถานรับเลี้ยงเด็ก และเด็กที่เพิ่งเข้าโรงเรียนในปีแรก ๆ จะติดเชื้อจากเพื่อนในห้องป่วยเป็นไข้หวัดได้บ่อยมาก

โรคนี้สามารถติดต่อกันได้ง่ายโดยการอยู่ใกล้ชิดกัน จึงพบเป็นกันมากตามโรงเรียน โรงงาน และที่ที่มีคนอยู่รวมกลุ่มกันมาก ๆ และพบได้ตลอดทั้งปี มักจะพบมากในช่วงฤดูฝน ฤดูหนาว หรือในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง

ไข้หวัดจัดว่าเป็นโรคที่ประชาชนสามารถดูแลตนเองได้ เนื่องเพราะมักมีอาการไม่รุนแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ด้วยการปฏิบัติตัวและการรักษาตามอาการ

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อหวัด ซึ่งเป็นไวรัส (virus) มีอยู่มากกว่า 200 ชนิดจากกลุ่มไวรัสหลายกลุ่มด้วยกัน กลุ่มไวรัสที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่มไวรัสไรโน (rhinovirus) ซึ่งมีมากกว่า 100 ชนิด นอกนั้นก็มีกลุ่มไวรัสโคโรนา (coronavirus) กลุ่มไวรัสอะดีโน (adenovirus) กลุ่มอาร์เอสวี (respiratory syncytial virus/RSV) กลุ่มไวรัสพาราอินฟลูเอนซา (parainfluenza virus) กลุ่มเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (influenza virus) กลุ่มไวรัสเอนเทอโร (enterovirus) กลุ่มเชื้อเริม (herpes simplex virus) เป็นต้น แต่ละกลุ่มจะมีสายพันธุ์ย่อยหลายสายพันธุ์ เช่น ไวรัสโคโรนา มีสายพันธุ์เก่า 4 สายพันธุ์ ถึงปี 2563 มีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น 3 สายพันธุ์ รวมทั้งไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคโควิด-19

การเกิดโรคขึ้นในแต่ละครั้งจะเกิดจากเชื้อหวัดเพียงชนิดเดียว เมื่อเป็นแล้วร่างกายก็จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดชนิดนั้น ในการเจ็บป่วยครั้งใหม่ก็จะเกิดจากเชื้อหวัดชนิดใหม่ หมุนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีอายุมากขึ้น ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดชนิดต่าง ๆ มากขึ้น ก็จะป่วยเป็นไข้หวัดห่างขึ้น และมีอาการรุนแรงน้อยลงไป

เชื้อหวัดมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด เนื่องจากเป็นฝอยละอองที่มีขนาดใหญ่ (มากกว่า 5 ไมครอน) จึงกระจายออกไปได้ไม่ไกล คือภายในระยะไม่เกิน 1 เมตร จัดว่าเป็นการแพร่กระจายทางละอองเสมหะ (droplet transmission)

นอกจากนี้ เชื้อหวัดยังอาจติดต่อโดยการสัมผัส กล่าวคือ เชื้อหวัดอาจติดที่มือของผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ จาน ชาม ของเล่น หนังสือ โทรศัพท์ เป็นต้น) หรือสิ่งแวดล้อมที่เปื้อนถูกฝอยละอองของผู้ป่วย เมื่อคนปกติสัมผัสถูกมือของผู้ป่วยหรือสิ่งของเครื่องใช้ หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อหวัด เชื้อหวัดก็จะติดมือของคน ๆ นั้น และเมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายของคน ๆ นั้นจนกลายเป็นไข้หวัดได้

ระยะฟักตัว (ระยะตั้งแต่ผู้ป่วยรับเชื้อเข้าไปจนกระทั่งมีอาการเกิดขึ้น) 1-3 วัน


อาการ

มีไข้เป็นพัก ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหนักศีรษะเล็กน้อย คอแห้งหรือเจ็บคอเล็กน้อย คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล ซึ่งมักจะมีน้ำมูกมากใน 2-3 วันแรก

น้ำมูกมีลักษณะใส บางรายหลังมีน้ำมูกใสได้ 2-3 วันน้ำมูกอาจมีลักษณะข้นขาว หรือเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว ซึ่งมักพบในช่วงหลังตื่นนอนตอนเช้า เนื่องจากเป็นน้ำมูกที่ค้างอยู่ในจมูกเป็นเวลานาน ตอนสาย ๆ ก็มักจะกลับกลายเป็นใส

ต่อมาอาจมีอาการไอแห้ง ๆ หรือไอมีเสมหะเล็กน้อย ลักษณะสีขาว บางครั้งอาจทำให้รู้สึกเจ็บบริเวณลิ้นปี่เวลาไอ ในเด็กเล็กอาจมีอาการอาเจียนเวลาไอ

ในผู้ใหญ่อาจไม่มีไข้ มีเพียงคัดจมูก น้ำมูกไหล

ในเด็กมักจับไข้ขึ้นมาทันทีทันใด บางครั้งอาจมีไข้สูงและชัก ในทารกอาจมีอาการอาเจียน หรือท้องเดินร่วมด้วย

ในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ผู้ป่วยจะมีไข้ติดต่อกันนานเกิน 4 วัน หรือมีอาการเป็นหวัด น้ำมูกไหล ติดต่อกันนานเกิน 10 วัน

ภาวะแทรกซ้อน

มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ทำให้มีไข้ หรือเป็นหวัดเรื้อรังนานกว่าปกติ หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ดังนี้

    หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน มักพบในเด็กเล็กมากกว่าผู้ใหญ่ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดหูมาก ในทารกจะมีอาการร้องงอแง เอามือดึงใบหูตัวเอง
    ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน มีอาการไข้ ปวดหน่วง ๆ ที่หน้าผาก หัวตา หรือโหนกแก้ม มักมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวมีกลิ่นเหม็น
    ทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน มีอาการเจ็บคอมาก กลืนลำบาก ตรวจพบทอนซิลบวมแดง เป็นหนอง
    กล่องเสียงอักเสบ มีอาการเสียงแหบ
    หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน มีอาการไอบ่อย มีเสลดที่ขึ้นมาจากหลอดลม
    หูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน มีอาการวิงเวียน เห็นบ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน
    โรคหืดกำเริบ มีอาการหายใจหอบ หายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ
    ปอดอักเสบ มีไข้สูง หนาวสั่น เจ็บหน้าอก หายใจหอบ หรือหายใจเร็ว

โรคแทรกซ้อนที่รุนแรงมักเกิดในผู้ป่วยที่ไม่ได้พักผ่อน ตรากตรำงานหนัก ร่างกายอ่อนแอ (เช่น ขาดอาหาร เป็นต้น) ในทารก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งมีสิ่งตรวจพบดังนี้

มักตรวจพบไข้ น้ำมูก เยื่อจมูกบวมและแดง คอแดงเล็กน้อย ในเด็กอาจพบทอนซิลโต แต่ไม่แดงมากและไม่มีหนอง

ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนหรือสงสัยว่าอาจเกิดจากสาเหตุอื่น (เช่น ไข้หวัดใหญ่ โควิด-19 ไข้เลือดออก) แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด นำน้ำมูกหรือเสมหะไปตรวจหาเชื้อ เอกซเรย์ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ให้ยารักษาตามอาการ ดังนี้

(1.1) สำหรับผู้ใหญ่ และเด็กอายุมากกว่า 6 ปี

    ถ้ามีไข้ ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล
    ถ้ามีอาการน้ำมูกไหล ใช้กระดาษทิชชูเช็ดออก ไม่จำเป็นต้องใช้ยา ยกเว้นในรายที่มีน้ำมูกมากหรือจามมากจนทำให้รู้สึกหายใจไม่สะดวก รู้สึกเหนื่อย หรือไม่สุขสบายอย่างมาก ให้กินยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน บรรเทาอาการเท่าที่จำเป็น โดยให้กินครั้งละ ½-1 เม็ด ถ้าไม่ทุเลาซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง ถ้าทุเลาแล้วให้หยุดยา*
    ถ้ามีอาการไอ จิบน้ำอุ่น น้ำมะนาว หรือน้ำขิงอุ่น ๆ หรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว** (น้ำผึ้ง 4 ส่วน น้ำมะนาว 1 ส่วน) บ่อย ๆ ถ้าไอมากลักษณะไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ ให้ยาระงับการไอ

(1.2) สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี

    ถ้ามีไข้ ให้พาราเซตามอลชนิดน้ำเชื่อม
    ถ้ามีน้ำมูกมาก ให้ใช้ลูกยางเบอร์ 2 ดูดน้ำมูกออกบ่อย ๆ (ถ้าน้ำมูกข้นเหนียว ควรใช้น้ำเกลือหยอดในจมูกก่อน) หรือใช้กระดาษทิชชูพันเป็นแท่ง สอดเข้าไปเช็ดน้ำมูก (ถ้าน้ำมูกข้นเหนียว ควรชุบน้ำสุก หรือน้ำเกลือพอชุ่มก่อน) แพทย์จะไม่ให้ยาแก้แพ้ลดน้ำมูก เนื่องเพราะมีผลเสีย (ผลข้างเคียงจากยา) มากกว่าประโยชน์ในการรักษาโรค
    ถ้ามีอาการไอ จิบน้ำอุ่นมาก ๆ หรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว** ถ้ามีอาการอาเจียนเวลาไอ ไม่จำเป็นต้องให้ยาแก้อาเจียน แนะนำให้ป้อนนมและอาหารทีละน้อย แต่บ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนจะเข้านอน

2. ยาปฏิชีวนะไม่จำเป็นต้องให้ เพราะนอกจากไม่ได้มีผลต่อการฆ่าเชื้อหวัดซึ่งเป็นไวรัส ยังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหลายอย่างตามมาได้

แพทย์จะพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น อะม็อกซีซิลลิน, โคอะม็อกซิคลาฟ, อีริโทรไมซิน, ร็อกซิโทรไมซิน เป็นต้น) ในรายที่มีอาการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน เป็นต้น

3. ถ้าไอมีเสมหะเหนียว ให้งดยาแก้แพ้ลดน้ำมูกและยาระงับการไอ และให้ดื่มน้ำมาก ๆ วันละประมาณ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร)

4. ถ้ามีอาการหอบ หรือนับการหายใจได้เร็วกว่าปกติ (เด็ก อายุ 0-2 เดือนหายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ปีหายใจมากกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ปีหายใจมากกว่า 40 ครั้ง/นาที) หรือมีไข้นานเกิน 4 วัน อาจเป็นปอดอักเสบหรือภาวะรุนแรงอื่น ๆ ได้ อาจต้องเอกซเรย์ ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ เป็นต้น แล้วทำการรักษาตามสาเหตุที่พบ

5. ถ้าสงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด-19 แพทย์จะทำการตรวจหาเชื้อในจมูกหรือคอหอย และให้การดูแลรักษาตามสาเหตุที่พบ

6. ถ้าสงสัยเป็นไข้หวัดนก เช่น มีประวัติสัมผัสสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตายภายใน 7 วัน หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้หวัดนกภายใน 14 วัน แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ถ้าเป็นจริงก็จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ให้การรักษาตามอาการ มักหายได้ภายใน 7-10 วัน ส่วนน้อยที่อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ซึ่งเมื่อให้ยาปฏิชีวนะรักษาก็หายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ มีน้อยรายที่อาจเป็นปอดอักเสบ ซึ่งจำเป็นต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล

*ยาแก้แพ้มีฤทธิ์ในการลดน้ำมูกในผู้ที่เป็นไข้หวัด ใช้เพียงเพื่อบรรเทาอาการให้สุขสบายเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น เนื่องจากยานี้อาจมีผลข้างเคียงได้หลายอย่าง จึงควรใช้บรรเทาอาการเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี (นอกจากไม่ได้ช่วยบรรเทาอาการแล้ว ยังอาจเกิดโทษได้อีกด้วย) ผู้ที่เป็นต้อหิน โรคลมชัก โรคหืด หรือต่อมลูกหมากโต (มีอาการปัสสาวะลำบาก) ก็ไม่ควรใช้ยานี้เพราะอาจมีผลข้างเคียงทำให้โรคเหล่านี้กำเริบได้

**ควรหลีกเลี่ยงการให้น้ำผึ้งแก่ทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี เพื่อป้องกันการเกิดโรคโบทูลิซึม


การดูแลตนเอง

1. ถ้ามีอาการเพียงเล็กน้อย ซึ่งมั่นใจว่าเป็นไข้หวัดที่ไม่รุนแรง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    พักผ่อนมาก ๆ ห้ามตรากตรำงานหนักหรือออกกำลังกายมากเกินไป
    สวมใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น อย่าถูกฝน หรือถูกอากาศเย็นจัด และอย่าอาบน้ำเย็น
    ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยลดไข้ และทดแทนน้ำที่เสียไปเนื่องจากไข้สูง
    ควรกินอาหารอ่อน น้ำข้าว น้ำหวาน น้ำส้ม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อน ๆ
    ใช้ผ้าชุบน้ำ (ควรใช้น้ำอุ่น หรือน้ำก๊อกธรรมดา อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลามีไข้สูง
    งดสูบบุหรี่หรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสควันบุหรี่
    ถ้ามีไข้สูง กินยาลดไข้-พาราเซตามอล (ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม)
    ถ้ามีน้ำมูกมาก สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ให้ใช้ลูกยางดูด หรือใช้กระดาษเช็ดออก

สำหรับผู้ใหญ่และเด็กอายุมากกว่า 6 ปี ใช้กระดาษเช็ดออก ถ้ามีน้ำมูกมากหรือจามมากจนทำให้รู้สึกหายใจไม่สะดวก รู้สึกเหนื่อย หรือไม่สุขสบายอย่างมาก ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรถึงความจำเป็นและความปลอดภัยในการใช้ยาแก้แพ้ลดน้ำมูกบรรเทาอาการ

    ถ้าไอเล็กน้อย ให้จิบน้ำอุ่น น้ำมะนาว หรือน้ำขิงอุ่น ๆ บ่อย ๆ ถ้าไอมาก ให้จิบน้ำผึ้งผสมมะนาว (ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี) หรือยาแก้ไอมะขามป้อม หรืออมยาอมมะแว้ง (ยกเว้นเด็กเล็ก) ถ้าไอมีเสมหะเหนียว ควรดื่มน้ำมาก ๆ
    ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
    -    พบอาการไข้หรือไข้หวัดในทารกอายุต่ำกว่า 3 เดือน
    -    ทารกมีไข้ ร่วมกับร้องกวนงอแงมาก หรือเอามือดึงใบหูตัวเอง หรือมีไข้ขึ้นสูงกว่าวันแรก ๆ 
    -    มีไข้สูงตลอดเวลา หรือมีไข้เป็นพัก ๆ ทุกวันติดต่อกันนานเกิน 4 วัน หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย หรือหลังจากไข้หายแล้วไม่นานกลับมีไข้กำเริบใหม่
    -    ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ปวดเมื่อยตามตัวมาก นอนซม หรือซึมมาก
    -    ปวดหูมาก เจ็บหน้าอกมาก เจ็บคอมาก กลืนลำบาก หรือกินอาหารหรือดื่มน้ำได้น้อย
    -    มีอาการปวดและกดเจ็บที่หน้าผาก หัวตา หรือโหนกแก้ม 
    -    มีน้ำมูกหรือเสมหะเหลืองหรือเขียว และมีกลิ่นเหม็น
    -    หายใจหอบ หรือเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีหายใจเร็วกว่าปกติ (เด็กอายุ 0-2 เดือนหายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ปีหายใจมากกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ปีหายใจมากกว่า 40 ครั้ง/นาที) 
    -    มีอาการหอบหืดกำเริบ หรือหายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ
    -    มีอาการเป็นหวัดคัดจมูก น้ำมูกไหล เป็นเวลานานเกิน 10 วัน
    -    มีอาการไอนานเกิน 14 วัน หรือไอมีเสลดข้นเหลืองหรือเขียว
    -    มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลด
    -    สงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก โรคโควิด-19 ไข้เลือดออก หรือไข้จากสาเหตุร้ายแรงอื่น ๆ
    -    มีประวัติการแพ้ยา หรือหลังกินยามีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    -    มีความวิตกกังวลหรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

2. ถ้าสงสัยว่ามีอาการรุนแรง หรือไม่มั่นใจที่ดูแลตนเองตั้งแต่แรก ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัด ควรดูแลตนเองดังนี้

    กินยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
    -    หายใจหอบ/หายใจมีเสียงดังวี้ด หรือเจ็บหน้าอกมาก
    -    ไอเป็นเลือด หรือน้ำหนักลด
    -    ปวดหูมาก เจ็บหน้าอกมาก เจ็บคอมาก กลืนลำบาก หรือกินอาหารหรือดื่มน้ำได้น้อย
    -    มีอาการปวดและกดเจ็บตรงหน้าผาก หัวตา หรือโหนกแก้ม 
    -    มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว และมีกลิ่นเหม็น
    -    มีอาการไข้นานเกิน 4 วัน มีน้ำมูกนานเกิน 10 วัน ไอมีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว หรือไอนานเกิน 14 วัน
    -    ในกรณีที่แพทย์ให้กินยาปฏิชีวนะ ถ้ากินไป 4 วันยังไม่ทุเลา หรือทำยาหาย
    -    มีอาการที่สงสัยว่าแพ้ยา เช่น ลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เป็นต้น

การป้องกัน

1. หมั่นดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงโดยการออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าตรากตรำงานหนักเกินไป ระวังรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ไม่ควรอาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำที่เย็นเกินไป โดยเฉพาะในเวลาที่มีอากาศเย็น

2. ในช่วงที่มีการระบาดของโรคนี้ หรือมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นไข้หวัด ควรปฏิบัติดังนี้

    ในช่วงที่มีการระบาด ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด เช่น สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า งานมหรสพ เป็นต้น ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยเจลแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสมหะผู้ป่วย และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูก
    อย่าเข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วย ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยเจลแอลกอฮอล์
    อย่าใช้สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ เครื่องใช้ โทรศัพท์ ของเล่น เป็นต้น) ร่วมกับผู้ป่วย และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือผู้ป่วย
    ผู้ป่วยควรแยกตัวออกห่างจากผู้อื่น อย่านอนปะปนหรือคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น เวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าปิดปากและจมูก เวลาเข้าไปในที่ที่มีคนอยู่กันมาก ๆ ควรสวมหน้ากากอนามัย

ข้อแนะนำ

1. ในปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้รักษาและป้องกันไข้หวัดอย่างได้ผล การรักษาอยู่ที่การพักผ่อนและการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเป็นสำคัญ ยาที่ใช้ก็เป็นเพียงยาที่รักษาตามอาการเท่านั้น

ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดจากไวรัสส่วนใหญ่มักจะหายได้เองด้วยกลไกธรรมชาติของร่างกาย และหายตามระยะของโรค โดยทั่วไป อาการตัวร้อนมักจะเป็นอยู่ประมาณ 3-4 วัน และอาการเป็นหวัด น้ำมูกไหลมักเป็นอยู่นาน 7-10 วัน ถ้ามีไข้เกิน 4 วัน หรือเป็นหวัดน้ำมูกไหลเกิน 10 วัน มักแสดงว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หรืออาจเกิดจากโรคอื่น ๆ

ผู้ป่วยบางรายถึงแม้จะหายตัวร้อนแล้ว แต่ก็อาจมีน้ำมูกและไอต่อไปได้ บางรายอาจไอโครก ๆ อยู่เรื่อย อาจนานถึง 7-8 สัปดาห์ เนื่องจากเยื่อบุทางเดินหายใจถูกทำลายชั่วคราว ทำให้ไวต่อสิ่งระคายเคือง (เช่น ฝุ่น ควัน) มักจะเป็นลักษณะไอแห้ง ๆ หรือมีเสมหะเล็กน้อยเป็นสีขาว ถ้าพบว่าผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วยก็ไม่ต้องให้ยาอะไรทั้งสิ้น ให้ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ (ควรงดดื่มน้ำเย็น ถ้าดื่มแล้วทำให้ไอมากขึ้น)

2. ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ (ซึ่งชาวบ้านทั่วไปเข้าใจว่าเป็นยาแก้อักเสบ) แก่ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดทุกราย ยกเว้นในรายที่แพทย์วินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียที่จำเป็นต้องใช้ยาชนิดนี้เท่านั้น

การใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับไข้หวัดจากไวรัสไม่ได้ช่วยให้โรคหายไว หรือป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมา ที่สำคัญ การใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อเกินจำเป็น อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง (เช่น ท้องเดิน จุกแน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปากเปื่อย ลิ้นเปื่อย) แพ้ยา และอาจก่อโทษต่อร่างกาย เช่น ทำให้เชื้อโรคดื้อยา ทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในร่างกาย ทำให้มีการติดเชื้อแทรกซ้อน (เช่น ลิ้นเป็นโรคเชื้อรา ตกขาวจากเชื้อรา โรคท้องเดินชนิดรุนแรง เป็นต้น)

3. ผู้ที่เป็นไข้หวัด (ซึ่งมีอาการตัวร้อนร่วมด้วย) เรื้อรังหรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย อาจมีสาเหตุอื่นร่วมด้วย เช่น โรคหัวใจรั่วมาแต่กำเนิด ทาลัสซีเมีย โรคโลหิตจางอะพลาสติก โรคขาดอาหาร เป็นต้น จึงควรตรวจดูว่ามีสาเหตุเหล่านี้ร่วมด้วยหรือไม่

นอกจากนี้ยังเกิดจากร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำ ซึ่งอาจเกิดจากการนอนหลับพักผ่อนไม่พอ มีจิตใจเครียด หรือขาดการออกกำลังกาย หากพบว่าเกิดจากสิ่งเหล่านี้ ก็ควรแก้ไขให้ร่างกายแข็งแรง

4. เด็กเล็กที่เพิ่งฝากเลี้ยงในสถานรับเลี้ยงเด็ก หรือเข้าโรงเรียนในช่วง 3-4 เดือนแรก อาจเป็นไข้หวัดได้บ่อย เพราะติดเชื้อหวัดหลากชนิดจากเด็กคนอื่น ๆ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเรื่อย ๆ

เด็กที่เป็นไข้หวัดบ่อย แพทย์จะตรวจร่างกายอย่างถี่ถ้วน ถ้าไม่พบมีความผิดปกติ และเด็กมีพัฒนาการดี ก็จะอธิบายให้พ่อแม่เด็กเข้าใจ และแนะนำให้มียาลดไข้พาราเซตามอลไว้ประจำบ้านให้เด็กกินเวลาตัวร้อน ส่วนยาอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องให้ ควรดูแลเรื่องอาหารการกิน หมั่นชั่งน้ำหนักตัว พอพ้น 3-4 เดือน อาการก็จะเป็นห่างไปเอง เนื่องจากร่างกายเริ่มมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดมากชนิดแล้ว

5. ผู้ที่เป็นหวัดโดยไม่มีไข้ โดยมีน้ำมูกใสและจามบ่อย มักเกิดจากการแพ้อากาศ แพ้ฝุ่น หรือละอองเกสร มากกว่าที่จะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส (ดู "หวัดภูมิแพ้")

6. ผู้ที่มีอาการไข้และมีน้ำมูก แต่ตัวร้อนจัดตลอดเวลา กินยาลดไข้ก็ไม่ค่อยทุเลา มักจะไม่ใช่เป็นไข้หวัดธรรมดา แต่อาจมีสาเหตุอื่น ๆ เช่น หัด ปอดอักเสบ หรือทอนซิลอักเสบ แพทย์จะตรวจดูอาการของโรคเหล่านี้อย่างละเอียด

นอกจากนี้ยังมีโรคติดเชื้ออื่น ๆ อีกหลายชนิด ที่ในระยะแรกอาจแสดงอาการคล้ายไข้หวัดได้ เช่น ไข้เลือดออก ไอกรน คอตีบ โปลิโอ ตับอักเสบจากไวรัส ไทฟอยด์ สมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ เป็นต้น จึงควรติดตามดูอาการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ถ้าพบว่ามีไข้นานเกิน 4 วัน หรือมีอาการผิดไปจากไข้หวัดธรรมดา ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

7. อย่าซื้อหรือใช้ยาชุดแก้หวัดที่มียาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์ผสมอยู่ด้วย นอกจากจะไม่จำเป็นแล้วยังอาจมีอันตรายได้

8. เมื่อเป็นหวัด ควรหลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูก เพราะอาจทำให้เชื้อลุกลามเข้าหูและโพรงไซนัส ทำให้เกิดการอักเสบแทรกซ้อนได้

9. สำหรับเด็กเล็ก อย่าซื้อยาแก้หวัดแก้ไอสูตรผสมต่าง ๆ กินเอง เพราะอาจมีตัวยาเกินความจำเป็น จนอาจเกิดพิษได้ แม้แต่ยาแก้แพ้ แก้หวัด นอกจากจะไม่มีประโยชน์เท่าที่ควรแล้ว ยังอาจมีผลข้างเคียงต่อเด็กเล็กได้ ในการรักษากันเองเบื้องต้น ควรใช้ยาลดไข้พาราเซตามอลเพียงชนิดเดียวจะปลอดภัยกว่า

10. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

7
รถรับจ้างราคาถูก รถรับจ้างขนของขอนแก่น ใครที่กำลังต้องการจะใช้บริการ ติดต่อสอบถามมาได้

มาแล้วจ้าสำหรับ รถรับจ้างขนของขอนแก่น ทุกงานบริการเราพร้อมที่จะให้ แก่ลูกค้าทุกคนที่ต้องการขนย้ายของ ไม่ว่าคุณจะ ย้ายหอ ย้ายสำนักงาน ขนของย้ายบ้าน ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ขนย้ายสินค้า อุปโภคบริโภค อุปกรณ์ก่อสร้าง ไซต์งานก่อสร้าง หรือจะขนย้ายอื่นๆ เราก็มีความพร้อม ที่จะให้บริการท่านตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยประสบการณ์และความชำนาญที่ยาวนานกว่า 15 ปี เราบริการลูกค้าทุกระดับ เต็มความประทับใจ มี พนักงานยกของ  จำนวนมากไว้คอยบริการลูกค้าทุกจุดทุกพื้นที่ในประเทศไทย

พื้นที่ที่เราให้บริการ รถรับจ้างราคาถูก รถรับจ้างเที่ยวกลับ ตอนนี้เราให้บริการในช่วงเทศกาลปีใหม่ เริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนมกราคม เรามีรถเที่ยวกลับจำนวนมากไว้คอยบริการลูกค้า แต่ก็ยังมีจำนวนจำกัด เนื่องจากว่าในช่วงเทศกาลดังกล่าวนี้มีผู้เข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก ดังนั้นสำหรับใครที่มีแผนจะขนย้ายของที่แน่นอน ท่านต้องรีบจอง รถขนของราคาถูก นี้เป็นการด่วน เพื่อที่ท่านจะได้ประหยัดต้นทุนค่าขนย้าย หากท่านติดขัดประการใดยังไง

โทรมาคุยปรึกษากันก่อนเรามี รถรับจ้างขนของราคาถูก ไปคอยบริการอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทยไม่ว่าคุณต้องการที่จะขนย้ายไปยังจังหวัดไหน เราก็พร้อมที่จะให้บริการท่าน ได้อย่างไม่มีปัญหา สามารถพูดคุยโทรติดต่อกับเจ้าหน้าที่หรือผู้ที่ดูแลท่านได้เลยทันที สงสัยอะไรสอบถามได้ เรามีคำตอบและมีการวางแผนดีๆไว้ให้กับท่าน อย่างแน่นอน

    รถรับจ้างอำเภอเมืองขอนแก่น
    รถรับจ้างอำเภอกระนวน   
    รถรับจ้างอำเภอเขาสวนกวาง
    รถรับจ้างอำเภอโคกโพธิ์ไชย 
    รถรับจ้างอำเภอชำสูง           
    รถรับจ้างอำเภอชนบท
    รถรับจ้างอำเภอชุมแพ
    รถรับจ้างอำเภอน้ำพอง
    รถรับจ้างอำเภอบ้านไผ่
    รถรับจ้างอำเภอบ้านฝาง
    รถรับจ้างอำเภอเปือยน้อย
    รถรับจ้างอำเภอพล
    รถรับจ้างอำเภอพระยืน
    รถรับจ้างอำเภอภูเวียง
    รถรับจ้างอำเภอภูผาม่าน
    รถรับจ้างอำเภอมัญจาคีรี
    รถรับจ้างอำเภอแวงน้อย
    รถรับจ้างอำเภอแวงใหญ่
    รถรับจ้างอำเภอสีชมพู
    รถรับจ้างอำเภอหนองสองห้อง
    รถรับจ้างอำเภอหนองเรือ
    รถรับจ้างอำเภอหนองนาคำ
    รถรับจ้างอำเภออุบลรัตน์
    รถรับจ้างอำเภอโนนศิลา
    รถรับจ้างอำเภอแฮด

อย่าลืมนะหากท่านสนใจที่จะใช้บริการ รถกระบะรับจ้างขนของ รถ6ล้อรับจ้าง รถหกล้อรับจ้างย้ายบ้าน รถรับจ้างขนของ ขนย้ายของ ขนย้ายออฟฟิศ ขนย้ายสำนักงาน ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ขนย้ายเครื่องจักร รถสิบล้อรับจ้าง รถเทลเลอร์รับจ้าง รถเฮี๊ยบรับจ้าง หรือ รถรับจ้างอื่นๆทั่วไป เราพร้อมที่ให้บริการท่านได้อย่างไม่มีปัญหาทุกงานบริการ จะย้ายหอย้ายบ้าน ย้ายอะไรก็ตามแต่ โทรเข้ามาปรึกษากับเราได้เลยทันทีเรายินดีให้บริการท่านตลอด 24 ชั่วโมง

เราอยากให้คุณเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง กับทีมงานขนส่งกับเราเรามีความมั่นใจว่าจะให้บริการ ท่านและให้คำแนะนำท่านได้เป็นอย่างดีที่สุดจากประสบการณ์แต่การทำงานของเราขอบคุณลูกค้าทุกท่าน
ผู้ที่เข้ามาใช้บริการรายเก่าและรายใหม่ เรามีความสุขและมีความดีใจเป็นอย่างมากที่ได้รับโอกาสเข้าไปรับใช้ท่าน ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 นี้เราขอให้ลูกค้าทุกคน จงมีแต่ความสุขความเจริญ คิดสิ่งใดขอให้ได้สมดังปรารถนา กิจการรุ่งเรือง มั่งคั่ง สุขภาพร่างกายแข็งแรง

ตลอดปีและตลอดไป รถรับจ้างขนย้ายของขนส่ง ขอขอบคุณท่านเป็นอย่างสูง
ไม่ว่าคุณจะต้องการใช้บริการรถประเภทไหน งานอะไร เช่น งานขนย้ายบ้าน ย้ายกล่องสินค้า ย้ายสินค้าบริโภค วนใหญ่ก็จะเป็น รถกระบะรับจ้าง ทั้งแบบตู้ทึบและแบบคอกสูง เช่นเดียวกันกับ รถหกล้อรับจ้าง ทั้งแบบตู้ทึบและแบบคอกสูง ส่วนถ้างานใหญ่ๆ ก็ต้องยกให้ให้  รถบรรทุกรับจ้าง รถเครนรับจ้าง รถเฮียบรับจ้าง รถเทรนเลอร์รับจ้าง รถขนส่งรับจ้าง เป็นต้น เมื่อคิดถึงรถ

ขอให้คุณนึกถึงเรา โทรมาหาเราเลยสิ เราพร้อมรอสายคุณตลอด 24 ชั่วโมง และยินดีให้บริการแก่คุณตลอดเวลา เลือกใช้บริการรถรับจ้างของเราแล้วคุณจะไมผิดหวัง แถมยังได้ความประทับใจจากการบริการที่ดีของเรากลับไปอีกด้วย
ซึ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 นี้ ทางเราได้มีการเตรียมความพร้อมในเรื่องของ รถรับจ้าง ที่จะเข้ามาให้บริการลูกค้า เป็นอย่างดี เพื่อต้องการที่จะ สนับสนุนงานขนย้ายให้กับลูกค้าได้ทุกประเภท เราเตรียมความพร้อมในเรื่องของ คุณภาพของรถ

ประสิทธิภาพของรถ และพนักงานยกของ จำนวนมากมาย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องขาดตกบกพร่องในระหว่างการให้บริการลูกค้าทุกคน ซึ่งจากประสบการณ์และการทำงานของเราโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลวันสำคัญ เรารู้ดีอยู่แล้วว่าจะต้องมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก เพราะบางคนต้องการที่ย้ายที่อยู่ กลับต่างจังหวัด ย้ายงานใหม่ ขนย้ายบ้าน หรือย้ายออฟฟิศ ต่างมีความจำเป็นเป็นอย่างมากที่จะใช้บริการ รถรับจ้างขนย้ายของจังหวัดขอนแก่น เข้าไปให้บริการดังนั้น

รถรับจ้างขนของขอนแก่น เราจึงมีการวางแผนที่ดีให้กับลูกค้าจากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายปี เราให้บริการลูกค้า เป็นจำนวนมาก และเราจะรู้ถึง ปัญหา และการแก้ไขปัญหาในระหว่างหน้างานที่เราให้บริการในช่วงเทศกาลวันสำคัญ ได้เป็นอย่างดี เพื่อนคนไหนที่ต้องการจะใช้บริการสามารถ ตรวจเช็คราคาค่าขนย้าย หรือจะขอมาพูดคุยรายละเอียด ขอคำแนะนำงานขนย้ายต่างๆกับเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง


8
มีทุนจำกัด? ทำไงให้ได้ บริการรถรับจ้างขนย้ายบ้าน รถรับจ้างขนย้ายสกลนคร ในราคาประหยัด


1. เริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายในการขนย้ายที่ชัดเจน

กำหนดวัตถุประสงค์ในการขนย้ายสินค้าหรือทรัพย์สิน

การเริ่มต้นด้วยการกำหนดวัตถุประสงค์ในการขนย้ายเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อให้เข้าใจว่าทำไมคุณต้องการขนย้าย หรือสิ่งที่ต้องการขนย้ายคืออะไรบ้าง รถรับจ้างขนย้ายสกลนคร มีบริการต่าง ๆ เช่น ขนส่งสินค้า ขนย้ายที่อยู่ หรือบริการอื่น ๆ ที่อาจต้องการตามความต้องการของลูกค้า เช่น ขนย้ายหน้าบ้านหรือสำนักงาน


วิเคราะห์สถานการณ์การเงินของคุณ

การวิเคราะห์สถานการณ์การเงินจะช่วยให้คุณมีภาพรวมเกี่ยวกับที่เงินของคุณมาได้ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการกำหนดงบประมาณที่เหมาะสม สกลนคร โดยการตรวจสอบรายรับและรายจ่ายประจำ รวมถึงการคำนวณค่าใช้จ่ายที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ เพื่อให้การขนย้ายเป็นไปอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพรับจ้างย้ายของ


2. สำรวจตัวเลือกในการขนย้ายที่คุ้มค่า

การศึกษาตัวเลือกในการใช้บริการรถรับจ้างขนย้าย

การศึกษาตัวเลือกในการใช้บริการรถรับจ้างขนย้ายเป็นขั้นตอนที่สำคัญเมื่อต้องการหาบริการที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ บริการรถรับจ้างขนย้ายสกลนคร หรือบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีหลายประเภทของบริการ หรือค่าใช้จ่ายที่ต้องการพิจารณา ดังนั้นควรศึกษาและเปรียบเทียบราคาและบริการระหว่างบริษัท

    วิธีประหยัดเงินในการขนย้าย

หลังจากที่คุณได้ทราบถึงตัวเลือกของคุณแล้ว ต่อไปคุณจะต้องการทราบวิธีประหยัดเงินในการขนย้าย เพื่อให้คุณสามารถเลือกบริการที่เหมาะสมที่สุดตามงบประมาณของคุณ รถรับจ้างขนย้าย ซึ่งสิ่งที่ควรคำนึงถึงได้แก่ความปลอดภัยและคุณภาพของบริการ รวมถึงเปรียบเทียบราคาและบริการระหว่างบริษัทต่าง ๆ


3. วิธีการตรวจสอบความถูกต้องของค่าใช้จ่าย

การตรวจสอบรายละเอียดค่าใช้จ่าย

หลังจากที่คุณเลือกบริการขนย้ายที่คุ้มค่าแล้ว คุณต้องตรวจสอบรายละเอียดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับค่าบริการที่คุ้มค่า บริการขนส่ง จากนั้นคุณสามารถขอใบเสนอราคาจากบริษัทต่าง ๆ และเปรียบเทียบราคารถรับจ้างขนของราคาถูก

แบ่งเคล็ดลับเจ๋ง ๆ เพื่อขนย้ายในราคาประหยัดที่สุด!

เมื่อต้องการขนย้ายในราคาประหยัด นี่คือเคล็ดลับเจ๋ง ๆ ที่คุณควรพิจารณา

    วางแผนล่วงหน้า : การวางแผนล่วงหน้าช่วยให้คุณสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เริ่มต้นโดยกำหนดวัตถุประสงค์และการวางแผนสำหรับวันที่ของการขนย้ายของคุณ
    เลือกบริการที่เหมาะสม : พิจารณาตัวเลือกที่มีให้มากมาย เช่น รถรับจ้างขนย้ายบ้าน บริการขนส่งสินค้า หรือบริการรถบรรทุก และเลือกตามความเหมาะสมและความต้องการของคุณ
    เปรียบเทียบราคา : อย่าละเลยขั้นตอนนี้! เปรียบเทียบราคาระหว่างบริการจากบริษัทต่าง ๆ เพื่อหาข้อเสนอที่ดีที่สุดและคุ้มค่าที่สุดสำหรับคุณ
    ระวังค่าใช้จ่ายที่ซ่อนเร้น : อย่าลืมตรวจสอบค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้น เช่น ค่าบริการเสริม ค่าซื้ออุปกรณ์เสริม หรือค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
    ต่อรองราคาหรือขอส่วนลด : อย่าลืมที่จะต่อรองราคาหรือขอส่วนลดจากบริษัท เป็นเรื่องที่คุณสามารถประหยัดเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    ใช้บริการเสริมอย่างมีประสิทธิภาพ : บางครั้ง การใช้บริการเสริมเช่น บริการช่างหรือบริการจัดการสินค้า อาจช่วยลดค่าใช้จ่ายโดยไม่เสียคุณภาพ
    แบ่งปันรถรับจ้าง : ถ้าเป็นไปได้ คุณสามารถแบ่งปันรถรับจ้างกับผู้อื่นที่มีความต้องการเดียวกัน เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการขนย้าย
    หาโปรโมชั่นหรือส่วนลด : ค้นหาโปรโมชั่นหรือส่วนลดจากบริษัทต่าง ๆ ที่อาจช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนย้ายของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    ขอคำปรึกษา : อย่าลืมขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น เพื่อให้คุณได้ข้อมูลและคำแนะนำที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพสำหรับการขนย้ายของคุณ
    รับชมข้อเสนอและคำแนะนำ : สุดท้าย อย่าละเมิดโอกาสในการรับข้อเสนอและคำแนะนำจากคนอื่น ๆ ที่เคยขนย้ายก่อนหน้านี้ นี่อาจเป็นแหล่งข้อมูลที่มีค่าและสามารถช่วยคุณประหยัดเงินได้


ด้วยเคล็ดลับเหล่านี้ คุณสามารถขนย้ายในราคาประหยัดและมีประสิทธิภาพได้อย่างมีความสุขและแบบไม่เสียเวลาแน่นอน!รถกระบะรับจ้างขนสินค้าออนไลน์
วิธีการติดต่อจอง บริการรถรับจ้างขนย้ายสกลนคร

    ติดต่อผ่านโทรศัพท์ : โทรหา บริการรถรับจ้างขนย้ายสกลนคร โดยใช้หมายเลขโทรศัพท์ที่มีให้ไว้ เมื่อติดต่อสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการและติดต่อจองได้ทันที
    ส่งอีเมล์หรือกรอกแบบฟอร์มออนไลน์ : หากไม่สะดวกโทรหา คุณสามารถส่งอีเมล์หรือกรอกแบบฟอร์มจองบริการที่เว็บไซต์ของ บริการรถรับจ้างขนย้ายสกลนคร ได้ เจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับเพื่อยืนยันข้อมูลและตารางการให้บริการ
    ใช้แอปพลิเคชัน : บริการรถรับจ้างขนย้ายสกลนคร มีแอปพลิเคชันที่ให้บริการการจองออนไลน์ โดยสามารถดาวน์โหลดและใช้งานผ่านสมาร์ทโฟนได้ แอปพลิเคชันนี้ช่วยให้คุณสามารถจองบริการได้อย่างสะดวกและรวดเร็วโดยไม่ต้องโทรหา
    ทางสังคมออนไลน์ : บริการรถรับจ้างขนย้ายสกลนคร มีการติดต่อผ่านทางสังคมออนไลน์ เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ค หรืออินสตาแกรม คุณสามารถสอบถามข้อมูลและจองบริการผ่านช่องทางนี้ได้ด้วย
    เยี่ยมชมสถานที่ : หากมีโอกาส คุณยังสามารถเยี่ยมชมสถานที่ของ บริการรถรับจ้างขนย้ายสกลนคร เพื่อติดต่อหรือทำการจองโดยตรงที่เคาน์เตอร์บริการ
    บริการในเว็บไซต์ : บริการรถรับจ้างขนย้ายสกลนคร มีระบบจองบริการในเว็บไซต์ เพียงเข้าไปที่เว็บไซต์ของพวกเขาและค้นหาส่วนของการจองบริการ จากนั้นกรอกข้อมูลที่จำเป็นและยืนยันการจองได้ทันที

ทำตามขั้นตอนข้างต้นเพื่อติดต่อและจองบริการรถรับจ้างขนย้ายในสกลนครได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย!

ค้นหาบริการขนส่งที่ให้บริการมืออาชีพและปลอดภัยในการขนย้ายที่อยู่ของคุณในสกลนคร? เรามีบริการรถรับจ้างขนย้ายที่คุณสามารถเชื่อถือได้! ด้วยทีมงานมืออาชีพและรถขนส่งคุณภาพสูง เราจะช่วยคุณย้ายไปยังปลายทางใหม่ของคุณอย่างปลอดภัยและสะดวกสบายที่สุด ติดต่อเราเพื่อขอใบเสนอราคาและบริการที่คุณคาดหวัง!

9
การจัดฟันเด็ก ใช้ระยะเวลานานแค่ไหน

การเข้ารับการจัดฟัน เป็นการแก้ไขปัญหาฟันที่มีประสิทธิภาพและใช้เวลารวดเร็วเพราะ ถ้าหากเรามีปัญหาในเรื่องของรูปร่างฟันลักษณะฟันไม่ว่าจะเป็นฟันห่าง ฟันซ้อนเก หรือแม้กระทั่ง ฟันล้ม การเข้ารับการจัดฟัน ก็สามารถช่วยได้ ซึ่งในปัจจุบันนี้ การจัดฟันมีนวัตกรรมใหม่เข้ามาช่วยในการรักษาทำให้มีผลการรักษาที่แม่นยำและสามารถใช้งานช่องปากและฟันของเราได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่ถ้าหากเราพูดถึงระยะเวลาของการจัดฟันแล้ว หลายคนอาจจะคิดว่าเวลาที่ใช้ในการจัดฟันจะอยู่ประมาณ 2-3 ปีซึ่ง ต้องบอกว่าเป็นการรักษาที่ยาวนาน แต่รู้หรือไม่ว่า บางคนอาจจะต้องใช้เวลาจัดฟันเกือบ 10 ปี เพราะอาจจะต้องเข้ารับการจัดฟันหลายครั้งก็ด้วยพฤติกรรมและวิธีการปฏิบัติตัว ภายหลังจากการรักษานั่นเอง ผลการจัดฟันจัดขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเราด้วย

ถ้าหากหลังจากที่ถอดเครื่องมือการจัดฟันออกแล้วและไม่สวมใส่รีเทนเนอร์ก็อาจจะทำให้ฟันกลับมามีปัญหาเหมือนเดิมและอาจจะต้องใช้เวลารักษาอย่างต่อเนื่องหลายปี ซึ่งนี่ก็คือ ปัญหาของผู้เข้ารับการจัดฟันที่มักพบได้บ่อย แต่ถ้าหากเราปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ ภายหลังจากการจัดฟันเสร็จเรียบร้อยแล้วผู้เข้ารับการจัดฟันสวมใส่รีเทนเนอร์เป็นประจำ ก็จะทำให้ฟันมีการเรียงตัวที่สวยงาม ไม่กลับมามีปัญหาอีก เช่นเดียวกันกับการจัดฟันในเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองควรสอดส่องดูแลพฤติกรรมการดูแลทำความสะอาดของเด็กให้แปรงฟันอย่างถูกวิธีและดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เพราะไม่เช่นนั้น ฟันอาจจะกลับมามีปัญหาอีกได้ หลายคนที่อยากให้ลูกเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็เกิดความสงสัยว่าการจัดฟันในเด็กนั้น ใช้ระยะเวลานานแค่ไหน ซึ่งวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงระยะเวลาของการจัดฟันเด็กเด็กว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน

สำหรับการจัดฟันโดยทั่วไปแล้วจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 ปี ซึ่งการรักษาก็จะมีความแตกต่างไปในแต่ละคนเพราะปัญหาฟันและลักษณะฟันของแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกัน ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับระดับความผิดปกติในการสบฟันของเด็กด้วยและยังขึ้นอยู่กับความตอบสนองต่อการรักษาของร่างกายด้วย แต่ละคนก็มีไม่เท่ากันและยิ่งการจัดฟันในเด็ก เด็กก็ต้องให้ความร่วมมือในการรักษาด้วย เพราะระยะเวลาในการจัดฟันนั้น ก็จะมีองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตัวเด็กเอง ทันตแพทย์ผู้ทำการจัดฟัน และตัวช่วยหรือเครื่องมือจัดฟันอื่นๆที่จะทำให้ฟันเคลื่อนตัวได้เร็วขึ้น

ซึ่งการจัดฟันในเด็กโดยปกติแล้ว เด็กจะมีการสร้างกระดูกและการตอบสนองต่อการเคลื่อนฟันมากกว่าผู้ใหญ่และมีผลข้างเคียงน้อยกว่า โดยอายุก็ถือว่ามีความสำคัญต่อการจัดฟันเช่นเดียวกัน รวมไปถึงการให้ความร่วมมือของเด็กก็มีผลต่อระยะเวลาในการจัดฟัน เพราะการจัดฟันนั้นเป็นการรักษาที่ต้องใช้ระยะเวลาอย่างยาวนานและถ้าหากเด็กไม่มาพบทันตแพทย์ตามที่ทันตแพทย์นัด ก็อาจจะทำให้ผลการรักษาออกมาไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น หรือทำให้การรักษายืดเยื้อและยาวนานขึ้น เพราะการจัดฟันในเด็ก

เด็กจะต้องเข้าพบทันตแพทย์เพื่อปรับเครื่องมือเดือนละ 1 ครั้ง ถ้าหากเด็กไม่มาตามนัดหมายก็จะทำให้การเคลื่อนตัวของฟันช้า ฟันจะไม่ขยับไปในตำแหน่งที่ ทันตแพทย์กำหนด อาจจะทำให้เสียเวลาในการดึงฟันกลับมาหรือบางครั้งทันตแพทย์ก็ไม่สามารถแก้ไขให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมได้ นอกจากนี้ ในเรื่องของเครื่องมือการจัดฟันก็มีส่วนในเรื่องของระยะเวลาการจัดฟันด้วย เพราะถ้าหากเครื่องมือเกิดหลุดก็อาจจะทำให้เครื่องมือทำงานได้ไม่เต็มที่

เพราะฉะนั้น ผู้เข้ารับการจัดฟันในเด็ก จะต้องระมัดระวังในเรื่องของการรับประทานอาหาร ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีความแข็ง เหนียว เพื่อป้องกันการเกิดเครื่องมือหลุดขณะรับประทานอาหาร ทั้งหมดนี้ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อระยะเวลาการจัดฟันในเด็ก

อยากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากพาบุตรหลานของท่านเข้าพบกับทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านทันตกรรมคอยให้คำปรึกษาและแนะนำในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

10
การติดตั้งท่อลมร้อน อย่างไรให้ได้ผลดี

การติดตั้งท่อลมร้อนให้ได้ผลดีนั้นต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย เพื่อให้ระบบระบายอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนและข้อควรพิจารณาในการติดตั้งท่อลมร้อน:

1. การวางแผนและการออกแบบ:

กำหนดวัตถุประสงค์:
ระบุวัตถุประสงค์ของการใช้งานท่อลมร้อน เช่น ระบายอากาศร้อนจากห้องครัว ห้องน้ำ หรือโรงงานอุตสาหกรรม

คำนวณปริมาณลม:
คำนวณปริมาณลมที่ต้องการระบาย เพื่อเลือกขนาดท่อลมที่เหมาะสม

พิจารณาสภาพแวดล้อม:
พิจารณาสภาพแวดล้อมที่ท่อลมจะถูกติดตั้ง เช่น อุณหภูมิ ความชื้น สารเคมี

วางแผนเส้นทาง:
วางแผนเส้นทางการเดินท่อลมให้เหมาะสม เพื่อลดการสูญเสียแรงดันและเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายอากาศ

เลือกประเภทของท่อลม:
เลือกประเภทของท่อลมให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น ท่อลมโลหะ ท่อลมผ้าใบ หรือท่อลมไฟเบอร์กลาส

เลือกขนาดและรูปแบบของท่อลม:
เลือกขนาดและรูปแบบของท่อลมให้เหมาะสมกับปริมาณลมที่ต้องการระบายและพื้นที่ติดตั้ง

เลือกวัสดุของท่อลม:
เลือกวัสดุที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมในการใช้งาน เช่น เหล็กกล้าสังกะสี สแตนเลส หรืออะลูมิเนียม

2. การติดตั้ง:

ติดตั้งให้แน่นหนา:
ติดตั้งท่อลมให้แน่นหนา เพื่อป้องกันการรั่วไหลของอากาศและลดการสั่นสะเทือน

ติดตั้งฉนวนกันความร้อน:
หากจำเป็น ให้ติดตั้งฉนวนกันความร้อนบนท่อลม เพื่อลดการสูญเสียพลังงาน

ติดตั้งอุปกรณ์เสริม:
ติดตั้งอุปกรณ์เสริม เช่น วาล์ว ตัวปรับแรงดัน และตัวกรอง เพื่อควบคุมการไหลของอากาศและปรับปรุงคุณภาพอากาศ

ตรวจสอบการทำงาน:
ตรวจสอบการทำงานของระบบระบายอากาศหลังการติดตั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าระบบทำงานได้อย่างปกติ

3. การบำรุงรักษา:

ทำความสะอาด:
ทำความสะอาดท่อลมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นและสิ่งสกปรก

ตรวจสอบรอยรั่ว:
ตรวจสอบรอยรั่วของท่อลมเป็นประจำ และซ่อมแซมทันทีที่พบ

ตรวจสอบสภาพ:
ตรวจสอบสภาพของท่อลมเป็นประจำ หากพบว่าท่อลมชำรุดหรือเสื่อมสภาพ ควรเปลี่ยนใหม่

ข้อควรระวัง:

ควรติดตั้งท่อลมโดยช่างผู้ชำนาญ
ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตอย่างเคร่งครัด
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบระบายอากาศเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย

การติดตั้งท่อลมร้อนอย่างถูกต้องเหมาะสมจะช่วยให้ระบบระบายอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงจากอันตรายที่เกิดจากความร้อนและสารเคมี และช่วยประหยัดพลังงานในระยะยาว

11
อาหารสายยาง ความแตกต่างระหว่างอาหารปั่นผสมและอาหารทางการแพทย์

อาหารสำหรับผู้ป่วย หลายคนคงทราบดีว่า ต้องระมัดระวังในเรื่องของสารอาหารให้มากเป็นพิเศษ เนื่องจากผู้ป่วยมีความต้องการสารอาหารที่แตกต่างจากคนทั่วไป ผู้ป่วยบางคนมีความสามารถในการรับประทานอาหารลดลง จึงจำเป็นที่ต้องให้อาหารทางสายยาง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเกิดภาวะขาดสารอาหาร จากการรับประทานอาหารที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย


ซึ่งอาหารสำหรับให้ผู้ป่วยทางสายยางนั้น จะใช้เป็นอาหารปั่นผสม อาหารเหลวใส หรืออาหารทางการแพทย์ เพื่อให้อาหารสามารถไหลผ่านสายยางให้อาหารได้อย่างไม่ติดขัด ซึ่งหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า อาหารปั่นผสม หรือ อาหารทางการแพทย์ แต่รู้หรือไม่ว่า อาหารทั้งสองชนิดนี้มีความแตกต่างกัน

ทั้งในด้านของโภชนาการ วิธีการใช้ และข้อจำกัดในหลายๆเรื่อง แต่คุณสมบัติที่ชัดเจนก็คือ ช่วยให้ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ และยังช่วยป้องกันการเกิดความเสี่ยงของโรคต่างๆ ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ด้วย ทั้งนี้ทางอาหารปั่นผสมเรามีบริการอาหารทางสายยาง ที่มีคุณภาพ ปลอดภัยต่อผู้ป่วย โดยผลิตจากห้องปลอดเชื้อของทางโรงพยาบาล มีการควบคุมการผลิตทุกขั้นตอน โดยนักโภชนาการที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่สะอาดและปลอดภัยมากที่สุด

สำหรับความแตกต่างของ อาหารปั่นผสมและอาหารทางการแพทย์ มีข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็น ชนิดของอาหาร เช่น อาหารปั่นผสม มีการนำวัตถุดิบต่างๆที่มีความสดมาผ่านกระบวนการทำให้สุก และนำมาปั่นรวมกันกรองเอากากออก แล้วนำไปให้ผู้ป่วย แต่อาหารทางการแพทย์มีลักษณะเป็นผง สามารถละลายน้ำได้และนำไปให้ผู้ป่วยดื่มได้ หรือนำไปให้ผู้ป่วยทางสายยางได้

และอาหารปั่นผสม ใช้เป็นอาหารที่ให้ผู้ป่วยทางสายยางเท่านั้น แต่อาหารทางการแพทย์สามารถใช้ดื่มได้ และคนทั่วไปสามารถซื้อมารับประทานเพื่อเป็นอาหารเสริมได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์เท่านั้น เพราะอาหารทางการแพทย์จะต้องมีการควบคุมในเรื่องของสารอาหาร และอาหารทางการแพทย์ก็มีหลากหลายสูตร ต้องเลือกชนิดให้เหมาะสมกับร่างกาย

ในปัจจุบันอาหารทางการแพทย์มีหลากหลายชนิดทั้งสำหรับผู้ใหญ่และทารก ซึ่งแต่ละชนิดก็มุ่งเน้นให้ตรงกับความต้องการของร่างกายอย่างจำเพาะเจาะจง อาจอยู่ในรูปแบบที่ใช้กินหรือดื่มแทนอาหารหลัก ดื่มเพื่อเสริมอาหารบางมื้อ หรือใช้เป็นอาหารทางสายยางสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ โดยสิ่งที่อาหารปั่นผสมและอาหารทางการแพทย์มีความคล้ายก็คือ สารอาหารที่มีอยู่ในอาหาร โดยจะมีสารอาหารหลักๆคือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน และสามารถย่อยได้ง่าย รักษาความสมดุลให้กับระบบทางเดินอาหารภายในร่างกายด้วย

อย่างไรก็ตาม อาหารทางการแพทย์ หากเราต้องการหรือมีความจำเป็นที่จะต้องใช้อาหารทางการแพทย์ จะต้องปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อขอรับคำแนะนำในการใช้อย่างถูกต้อง เพราะในอาหารทางการแพทย์บางชนิดมีอาจจะมีการเพิ่มหรือลดสารอาหารบางอย่าง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและความสามารถของร่างกายในการนำไปใช้ แม้อาหารทางการแพทย์จะไม่ใช่ยา ไม่สามารถใช้ในการรักษาโรคได้ แต่ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาหรือบรรเทาอาการของโรค ป้องกันภาวะเกิดการภาวะแทรกซ้อนได้

แต่ไม่ว่าจะเป็นอาหารปั่นผสมหรืออาหารทางการแพทย์ ก็ต้องใช้่อย่างระมัดระวัง ในเรื่องของสูตรอาหารปั่นผสมก็ต้องออกแบบโดยนักโภชนาการ เพื่อให้สูตรอาหารมีความเหมาะสมกับผู้ป่วยมากที่สุด เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายต่างๆ จากการได้รับสารอาหาร เช่นเดียวกับอาหารทางการแพทย์ที่ต้องระมัดระวังในเรื่องของปริมาณและความเข้มข้นของสารอาหาร

จะต้องใช้อย่างระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอและเหมาะสมกับร่างกาย ทางอาหารปั่นผสม เราอยากให้ทุกคนใส่ใจในเรื่องของสุขภาพ ควรรับประทานอาหารให้ครบตามหลัก 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการที่ปลอดภัยต่อร่างกาย

12
หมอออนไลน์: โรคพยาธิตัวจี๊ด (Gnathostomiasis)

โรคพยาธิตัวจี๊ดเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิตัวจี๊ด*

พบได้บ่อยในผู้ที่มีประวัติชอบกินกุ้งหรือปลาน้ำจืด กบ เขียด ปู งู นก เป็ด ไก่ หนู หรือเนื้อสัตว์ดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ

*วงจรชีวิตของพยาธิตัวจี๊ด

ตัวจี๊ด (Gnathostoma spinigerum) โดยปกติพยาธิตัวเต็มวัย (ตัวแก่) จะอาศัยอยู่ในโพรงของก้อนทูมของกระเพาะอาหารของแมวและสุนัข ไข่พยาธิจะออกมาทางรูที่ติดต่อกับกระเพาะอาหาร และออกไปกับมูลของสัตว์เหล่านี้ ไข่จะเจริญและฟักเป็นพยาธิตัวอ่อนระยะที่ 1 ในน้ำ ซึ่งจะถูกกุ้งไร (cyclops) กิน แล้วเจริญต่อไปเป็นตัวอ่อนระยะที่ 2 ในกุ้งไร เมื่อสัตว์น้ำจืด สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์มีปีก หรือหนูกินกุ้งไร ตัวอ่อนของพยาธิก็จะเจริญต่อไปเป็นตัวอ่อนระยะที่ 3 ซึ่งเป็นระยะติดต่อ อาศัยอยู่ในกล้ามเนื้อของสัตว์เหล่านี้ ซึ่งถ้าถูกแมวหรือสุนัขกินเข้าไป ก็จะเจริญเป็นตัวแก่อาศัยอยู่ในก้อนทูมของกระเพาะอาหาร แต่ถ้าคนกินตัวอ่อนระยะที่ 3 ในสัตว์น้ำจืด สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์มีปีกหรือหนู พยาธิตัวอ่อนระยะที่ 3 ก็จะไม่อยู่ที่กระเพาะ แต่จะคืบคลานไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ใต้ผิวหนัง ช่องท้อง ปอด ตา หู สมอง ไขสันหลัง เป็นต้น ทำให้เกิดการอักเสบและเสียหายตามอวัยวะต่าง ๆ ได้

สาเหตุ

การติดต่อของโรคนี้เกิดจากการกินตัวอ่อนพยาธิตัวจี๊ดระยะติดต่อ ที่พบในกุ้งหรือปลาน้ำจืด กบ เขียด ปู งู นก เป็ด ไก่ หนู หรือเนื้อสัตว์ดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ

อาการ

ส่วนใหญ่จะพบว่าเป็นรอยบวมแดง ๆ ตึง ๆ ตามผิวหนัง อาจมีอาการคันหรือปวดจี๊ด ๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นเฉพาะแห่ง อาจเป็นส่วนไหนของร่างกายก็ได้ รอยบวมนี้จะมีขนาดไม่แน่นอน และเลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ เช่น บวมที่มือ แล้วค่อย ๆ เลื่อนไปที่แขน ไหล่ ปาก หน้า ตา จะบวมแห่งหนึ่งอยู่ 3-10 วัน (ชาวบ้านบางแห่งเรียกว่า โรคลมเพลมพัด) บางครั้งอาจมีไข้ขึ้น นอกจากนี้อาจมีอาการอื่น ๆ ตามลักษณะการไชตัวของพยาธิ เช่น

ถ้าตัวจี๊ดไชเข้าไขสันหลัง จะมีอาการปวดเสียวมากตามแขนขา แขนขาจะเป็นอัมพาต ปัสสาวะไม่ออก และท้องผูก

ถ้าตัวจี๊ดไชขึ้นสมอง จะมีอาการปวดศีรษะรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน คอแข็ง ซึม หมดสติ อาจถึงเสียชีวิตได้

ถ้าตัวจี๊ดไชเข้าลูกตา อาจทำให้ตาอักเสบ และตาบอดได้

ถ้าไชเข้าหู ทำให้ปวดหูอย่างมาก

ถ้าไชเข้าปอด ทำให้ปอดอักเสบ ปอดทะลุ มีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด หรือไอออกเป็นเลือด

ถ้าไชเข้าท้อง ทำให้มีก้อนในท้องเลื่อนที่ได้ อาจเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง หรือปวดคล้ายไส้ติ่งอักเสบได้

ภาวะแทรกซ้อน

เกิดการอักเสบและการทำลายของอวัยวะต่าง ๆ ที่ตัวจี๊ดไชผ่าน

แต่ถ้าไชเข้าอวัยวะสำคัญ เช่น ตา (ทำให้ตาบอด), ปอด (ทำให้ปอดอักเสบ ปอดทะลุ), ไขสันหลัง (ทำให้เป็นอัมพาต)

ถ้าไชเข้าสมอง อาจรุนแรงถึงเสียชีวิตได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ และจะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการเจาะเลือด (พบจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิดอีโอซิโนฟิล* ขึ้นสูง) ทำการทดสอบทางน้ำเหลือง (serologic test) เพื่อตรวจหาสารภูมิต้านทานต่อตัวจี๊ด และถ้าสงสัยตัวจี๊ดเข้าไขสันหลังหรือสมอง อาจต้องเจาะหลัง

*อีโอซิโนฟิล (eosinophil) เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ซึ่งปกติจะมีอยู่ประมาณร้อยละ 1-6 ของจำนวนเม็ดเลือดขาวทุกชนิดที่อยู่ในกระแสเลือด ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคพยาธิต่าง ๆ อาจมีอีโอซิโนฟิลขึ้นสูงถึงร้อยละ 20-80

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาแก้ปวด ยาแก้แพ้ และให้ยาฆ่าพยาธิ-อัลเบนดาโซล

2. ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง จะรับตัวไว้รักษาตัวในโรงพยาบาล และให้การแก้ไขตามอาการที่พบ

ถ้าตัวจี๊ดขึ้นมาอยู่ที่ผิวหนัง อาจรักษาด้วยการผ่านำตัวพยาธิออกมา

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีรอยบวมแดง ๆ ตึง ๆ ตามผิวหนัง มีขนาดไม่แน่นอนและเลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคพยาธิตัวจี๊ด ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
    มีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดหู ปวดตา ตามัว ตาบอด หายใจหอบ ปวดท้องมาก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซึม หรือไม่ค่อยรู้สึกตัว
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

    หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ก้อย ยำ ส้มฟัก หรือการย่างที่ไม่สุกเต็มที่ โดยเฉพาะที่ทำจากกุ้ง ปลาน้ำจืด กบ เขียด ปู งู นก เป็ด ไก่ หนู เป็นต้น
    ดื่มน้ำสุกหรือน้ำสะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อพยาธิตัวจี๊ดที่ตกปนอยู่ในน้ำ
    ล้างอุปกรณ์ (เช่น เครื่องบดเนื้อ มีด เขียง) ที่ใช้เตรียมเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ให้สะอาด ป้องกันไม่ให้มีตัวพยาธิเปรอะเปื้อน
    ป้องกันตัวจี๊ดไชเข้ามือด้วยการล้างมือด้วยสบู่หลังเตรียมอาหารเนื้อสัตว์ ถ้าเป็นไปได้ควรใส่ถุงมือเวลาเตรียมอาหารประเภทนี้

ข้อแนะนำ

โรคนี้มักมีอาการบวมแดงที่ผิวหนัง และรักษาให้หายได้เป็นส่วนใหญ่ มีเพียงส่วนน้อยที่ตัวจี๊ดอาจไชเข้าอวัยวะสำคัญ ทำให้เกิดอันตรายได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคตัวจี๊ดที่ผิวหนัง ควรเฝ้าระวังดูอาการอย่างใกล้ชิด ถ้ามีอาการผิดปกติที่สงสัยว่าตัวจี๊ดอาจไชเข้าอวัยวะสำคัญ ก็ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

ข้อสำคัญควรป้องกันไม่ให้รับอันตรายจากโรคนี้ด้วยการไม่กินเนื้อสัตว์ทุกชนิดแบบดิบ ๆ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ

13
รู้ทันความแตกต่างของโควิด-19 (COVID-19) และไข้หวัดใหญ่

โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 (COVID-19) ได้สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก โดยประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในพื้นที่เสี่ยงที่มีผู้ติดเชื้อทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อีกทั้งยังมีการระบาดภายในประเทศ ซึ่งอาการจากติดเชื้อ COVID-19 นั้นมีความคล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ ทำให้หลายคนที่มีอาการป่วยในช่วงนี้กังวลว่าตนเองป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่

แม้ว่าทั้งสองโรคนี้จะมีความคล้ายคลึงกันในหลายด้าน แต่ก็มีความแตกต่างพอที่จะสังเกตโรคได้ในเบื้องต้น โดยในบทความนี้จะพูดถึงความแตกต่างของโรคโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ พร้อมมีข้อสังเกตที่อาจช่วยให้รับมือกับเชื้อไวรัสได้ดียิ่งขึ้น

ความแตกต่างของโรคติดเชื้อโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่

เชื้อต้นเหตุที่ทำให้เกิดทั้งสองโรคนี้จะส่งกระทบต่ออวัยวะภายในระบบทางเดินหายใจเป็นหลัก ทำให้ผู้ป่วยมีอาการของโรคบางอย่างคล้ายกัน แต่เชื้อก่อโรคนั้นเป็นคนละชนิด จึงทำให้มีอาการที่ต่างกันด้วย

โรคไข้หวัดใหญ่

ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสภายในระบบทางเดินหายใจ มักปรากฏอาการหลังได้รับเชื้อ 1-4 วัน ซึ่งผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อผ่านการไอหรือจามได้ในระหว่างนี้ โดยอาการที่พบได้บ่อยเมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่ ได้แก่

    มีไข้ ตัวร้อน หนาวสั่น แต่บางรายอาจไม่มีไข้
    ไอ เจ็บคอ
    คัดจมูก น้ำมูกไหล
    ปวดเมื่อยตามร่างกาย
    ปวดศีรษะ
    อ่อนเพลีย

นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการท้องเสียหรืออาเจียนร่วมด้วย โดยทั้งสองอาการนี้พบได้ในผู้ป่วยเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ อีกทั้งไข้หวัดใหญ่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอันตรายอย่างภาวะปอดบวมได้ในบางราย

โรคติดเชื้อโควิด-19

เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 มีระยะฟักตัวราว 2-14 วันหลังได้รับเชื้อ ในระหว่างนี้อาจไม่มีอาการของโรคปรากฏให้เห็น แต่สามารถเกิดการแพร่เชื้อผ่านละอองสารคัดหลั่งอย่างน้ำมูกหรือน้ำลายได้ โดยอาการหลักที่พบได้จากการติดเชื้อ COVID-19 ได้แก่

    มีไข้สูง
    ไอ
    หายใจไม่อิ่ม

นอกจากนี้ บางรายอาจพบอาการที่คล้ายกับไข้หวัดใหญ่ เช่น ปวดตามร่างกาย ปวดศีรษะ เจ็บคอ คัดจมูก มีน้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส ถ่ายเหลว และอาเจียน เป็นต้น รวมทั้งเชื้อโควิด-19 ก็อาจทำให้เกิดปอดบวมรุนแรงได้เช่นเดียวกัน

ความเหมือนและความแตกต่างที่ควรสังเกต

หลังจากทำความรู้จักกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กับโรคไข้หวัดใหญ่ไปในเบื้องต้นแล้ว ลองมาดูข้อสังเกตบางประการที่อาจช่วยแยกสองโรคได้ออกจากกันได้ง่ายขึ้น เช่น

    ความรุนแรง

    ทั้งสองโรคนี้อาจทำให้เกิดอาการได้ตั้งแต่ระดับไม่รุนแรงไปจนถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่เชื้อ COVID-19 อาจมีแนวโน้มทำให้เกิดอาการและภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่าโรคไข้หวัดใหญ่

    อาการเด่นของโรค

    หากอาการหายใจไม่อิ่มที่มีสาเหตุมาจากปอดบวมอาจมีแนวโน้มเกิดจากเชื้อโควิด-19 มากกว่า เพราะในทางการแพทย์จัดอาการดังกล่าวเป็นอาการหลักของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

    การแพร่เชื้อในลักษณะเดียวกัน

    สองโรคนี้สามารถติดต่อผ่านทางสารคัดหลั่งอย่างน้ำลาย น้ำมูก เสมหะ โดยอาจเกิดจากการพูดคุย ไอ จาม หรือใช้มือสัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่งแล้วนำมาสัมผัสกับจมูก ปาก ใบหน้า และดวงตา ซึ่งอาจทำให้ติดเชื้อได้เช่นกัน

    ระยะฟักตัวที่แตกต่างกัน

    ทั้ง COVID-19 และไข้หวัดใหญ่สามารถติดต่อกันได้แม้ไม่มีอาการ แต่เชื้อโควิด-19 นั้นมีระยะฟักตัวที่นานกว่าเชื้อไข้หวัดใหญ่หลายเท่า จึงทำให้ผู้ป่วยไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อและทำให้เชื้อแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น

    อันตรายต่อผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว

    ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคปอด โรคหัวใจ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคตับ และภาวะภูมิคุ้มกันต่ำมีความเสี่ยงที่อาการจะรุนแรงกว่าคนปกติและมีแนวโน้มเสียชีวิตที่สูงกว่า

    การสัมผัสกับพื้นที่เสี่ยงหรือคนกลุ่มเสี่ยง

    ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่สามารถพบได้ในทุกประเทศ ในขณะที่ COVID-19 มีแหล่งการระบาดมาจากประเทศจีน ซึ่งในปัจจุบันหลายประเทศมีการระบาดและกลายเป็นประเทศเสี่ยง รวมถึงประเทศไทย ดังนั้น หากตนเองหรือคนใกล้ชิดเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ไปในพื้นที่ที่มีข่าวการระบาด อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยในช่วงที่ผ่านมาและเริ่มมีอาการต้องสงสัยก็อาจมีความเสี่ยงที่ติดเชื้อโควิด-19

    การวินิจฉัย

    ในการวินิจฉัยไข้หวัดใหญ่ แพทย์อาจใช้การสังเกตอาการของโรคเป็นหลัก และอาจใช้การเก็บตัวอย่างของสารคัดหลั่งภายในระบบทางเดินหายใจ อย่างจมูกหรือคอ เพื่อนำไปเพาะเชื้อในห้องปฏิบัติการ ซึ่งโรคติดเชื้อ COVID-19 ก็มีลักษณะการตรวจที่คล้ายกัน แต่เพราะเป็นโรคที่เพิ่งค้นพบและเป็นเชื้อคนละชนิด จึงอาจจำเป็นต้องใช้เครื่องมือบางอย่างที่แตกต่างกัน และพิจารณาร่วมกับประวัติที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ

เชื้อโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่รักษาอย่างไร มีวัคซีนป้องกันหรือไม่

โรคไข้หวัดใหญ่ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส สามารถหายได้เองภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ โดยในระหว่างนั้นอาจใช้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาแก้ปวด ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก และยาแก้ไอ รวมทั้งยังมียาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่แพทย์อาจนำมาใช้ในการรักษา ซึ่งอาจช่วยลดระยะเวลาการป่วยและช่วยให้หายเร็วขึ้น นอกจากนี้ แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัดหรือพื้นที่สาธารณะ

ในขณะที่โรค COVID-19 ยังไม่มียาที่ใช้รักษาโรคนี้โดยตรง โดยแพทย์จะรักษาตามอาการหากผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง ส่วนผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอดเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคตับ โรคอ้วน หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ แพทย์อาจสั่งจ่ายยาบางชนิดที่ได้รับอนุญาตให้ใช้รักษาโรคโควิด-19 โดยต้องพิจารณาตามอาการและการตอบสนองต่อยาของผู้ป่วย ร่วมกับการสังเกตภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ ยาคลอโรควิน (Chloroquine) ยาไฮดรอกซีคลอโรควิน (Hydroxychloroquine) ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ยาดารุนาเวียร์ (Darunavir) ยาริโทนาเวียร์ (Ritonavir) หรือยาอะซิโธรมัยซิน (Azithromycin)

ในปัจจุบันวัคซีนไข้หวัดใหญ่มีให้บริการตามโรงพยาบาลทั่วไป เพื่อช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ให้แก่ร่างกาย แต่วัคซีนป้องกันเชื้อ COVID-19 ยังอยู่ระหว่างการทดลองเพื่อยืนยันประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อและความปลอดภัยในระยะยาว

วิธีป้องกันตนเองจากเชื้อโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่

เชื้อ COVID-19 และเชื้อไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันและลดความเสี่ยงได้ ดังนี้

    ล้างมือด้วยสบู่และน้ำให้บ่อยมากขึ้น โดยใช้เวลาฟอกสบู่นานอย่างน้อย 20 วินาทีต่อครั้ง
    หากไม่สะดวกล้างมือ ควรพกเจลแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 70 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ติดตัวไว้เสมอสำหรับการทำความสะอาด โดยควรใช้ก่อนรับประทานอาหารทุกครั้งหรือใช้หลังจากสัมผัสสิ่งของสาธารณะ เช่น ปุ่มกดลิฟต์ ราวโหนบนรถสาธารณะ ลูกบิดประตู หรือโต๊ะอาหาร เป็นต้น
    หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีคนจำนวนมากอยู่รวมกัน เพราะอาจเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อ เช่น รถสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า และโรงพยาบาล
    หากจำเป็นต้องเข้าไปในที่ที่สาธารณะหรือสถานที่ที่มีคนเยอะ ควรสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง
    งดใช้มือที่ยังไม่ได้ทำความสะอาดสัมผัสกับหน้ากากอนามัย จมูก ปาก ดวงตา และใบหน้า
    หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรืออยู่ใกล้กับผู้ที่มีอาการป่วย
    หากมีอาการไอจาม ควรใช้กระดาษทิชชูปิดปากและจมูกให้มิดชิด หรือไอจามใส่ข้อพับแขนแทนฝ่ามือ เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดในกรณีที่มีเชื้อ

สุดท้ายนี้ หากรู้สึกว่าตนเองมีอาการไม่สบายร่วมกับมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น เดินทางในต่างประเทศ อยู่ใกล้ชิดกับคนป่วย หรือเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาดในช่วงที่ผ่าน ควรสวมหน้ากากอนามัยและไปพบแพทย์ทันที

14
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


15
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


หน้า: [1] 2 3 ... 32