แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 27
1
บริหารจัดการอาคาร: การเลือกใช้แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

ในเมืองร้อนอย่างประเทศไทยของเราเครื่องปรับอากาศหรือแอร์ กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกบ้านต้องมีติดไว้ ยิ่งถ้าบ้านไหนมีสมาชิกในบ้านที่ขี้ร้อนด้วย เครื่องปรับอากาศ ถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป้นเป็นอย่างมาก และคงจะต้องทำงานหนักตลอดทั้งวัน ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลยก็คือการดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศอยู่เสมอ


เพื่อให้อยู่ทนอยู่นานให้คุณได้ใช้ประโยชน์ในระยะยาว จะได้ไม่ต้องเสียเงินเปลี่ยนใหม่อยู่บ่อย ๆ ซึ่งในปัจจุบัน แอร์อินเวอร์เตอร์ ก็เป็นระบบเครื่องปรับอากาศที่ยังคงมาแรง และแทบทุกบ้านในปัจจุบันนิยมติดตั้งเพื่อให้ความเย็นภายในบ้าน ซึ่งมีจุดเด่นคือ มอเตอร์ทำงานเงียบ เย็นเร็ว ประหยัดพลังงานด้วย เป็นระบบมอเตอร์กระแสตรง หรือคอมเพรสเซอร์แบบสวิง ไม่มีช่องว่างระหว่างแกนหมุน

ทำให้ลดแรงเสียดทานขณะหมุนได้ จึงช่วยให้ประหยัดพลังงานได้อย่างเต็มที่ เพราะคอมเพรสเซอร์สตาร์ทครั้งเดียวและจะทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยใช้วิธีลดรอบการทำงาน เมื่ออุณหภูมิคงที่ รอบคอมเพรสเซอร์จะต่ำ ส่งผลให้เสียงเงียบ และไม่มีเสียงสตาร์ทของตัวมอเตอร์ระหว่างการทำงาน แล้วเราจะเลือกแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์อย่างไรให้เหมาะสมกับการใช้งาน เพื่อให้เราได้ประหยัดพลังงานมากที่สุด วันเราจะมาพูดถึงเรื่องของการเลือกใช้แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
 

ก่อนอื่นเราจะต้องเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างของระบบแอร์อินเวอร์เตอร์กับแอร์แบบทั่วไปก่อนว่า มีความแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งความแตกต่างของ แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ และแอร์ทั่วไปคือ การทำงานของ ระบบ Inverter เมื่อเริ่มเปิดแอร์ อุณหภูมิของแอร์จะค่อย ๆ ลดลง จนถึงระดับที่ตั้งไว้ แล้วตัวคอมเพรสเซอร์จะปรับรอบการทำงาน เพื่อให้อุณหภูมิภายในห้องมีความคงที่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะแตกต่างจากแอร์ทั่วไป ที่เมื่อเปิดแอร์แล้ว อุณหภูมิของแอร์จะลดลงต่ำกว่าอุณหภูมิที่ตั้งไว้ประมาณ 1-2 องศา และเมื่อใช้งานได้สักระยะ ระบบคอมเพรสเซอร์แอร์จะตัดการทำงาน ส่งผลให้อุณภูมิค่อย ๆ ปรับระดับสูงขึ้นกว่าที่ตั้งไว้ประมาณ 1-2 องศา แล้วระบบคอมเพรสเซอร์จะเริ่มตัดอีกครั้ง

ซึ่งการที่คอมเพรสเซอร์แอร์ตัดอยู่ตลอดเวลานั้นส่งผลให้อุณหภูมิภายในห้องไม่คงที่นั่นเอง สำหรับเคล็ดลับการเลือกใช้แอร์อินเวอร์เตอร์ให้เหมาะสมก็คือ แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานตลอดเวลาที่ยาวนานและต่อเนื่องหลายชั่วโมง เช่น ห้องทำงาน ห้องนอน หรือต้องการห้องที่มีอุณหภูมิที่สม่ำเสมอและเงียบสงบ การใช้แอร์ที่ไม่มีอินเวอร์เตอร์ เหมาะสำหรับห้องที่ไม่ต้องการความเย็นตลอดเวลา ประหยัด และมักนิยมใช้ขณะที่ต้องเข้ามาใช้ห้องเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น จะเห็นได้ว่าในระยะยาวระบบอินเวอร์เตอร์


ย่อมมีผลดีกว่าระบบเดิมๆ อย่างมากเพราะเป็นระบบที่มีเสียงเงียบ มีประสิทธิภาพในการควบคุมอุณหภูมิได้คงที่มากกว่า อีกทั้งยังกินไฟน้อยกว่า ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา การทำความสะอาดด้วย ไม่ใช่เป็นที่ระบบแต่เพียงอย่างเดียว ดังนั้น หากยังต้องการประหยัด ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนเป็นระบบอินเวอร์เตอร์ให้สิ้นเปลือง
ตราบใดที่ยังคงใช้งานแอร์ระบบเดิมได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง อย่างไรก็ตาม แม้ว่า แอร์ อินเวอร์เตอร์จะมีข้อดีในการใช้งาน แต่ก็มีข้อเสียที่เราจะต้องศึกษาก่อนการเลือกซื้อ หรืออาจจะต้องปรึกษาช่างที่มีความเชี่ยวชาญ เพราะด้วยระบบการทำงานภายในที่ซับซ้อน จึงทำให้แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ มีราคาที่สูงกว่าแอร์ระบบธรรมดาทั่ว ๆ ไป รวมถึงการดูแลบำรุงรักษาก็จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงตามไปด้วยเช่นกัน

 
อย่างไรก็ตาม อยากให้ทุกครอบครัวได้สร้างบรรยากาศภายในครอบครัวให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีอยู่เสมอ ด้วยการทำความสะอาดบ้านช่องให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น เพราะปัจจัยหลายๆอย่างในบ้านของเรา สามารถสร้างบรรยากาศที่ดีในบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่เราได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีๆ ได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์ เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี เพราะสุขภาพที่ดีสามารถทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


นอกจากนี้ เรายังมีบริการระบบไฟฟ้าภายในอาคาร ระบบการจัดการน้ำ ระบบปรับอากาศ และหมุนเวียนอากาศ งานบำรุงรักษาโครงสร้างอาคาร ระบบป้องกันเพลิง รวมไปถึงระบบสื่อสาร และกล้องวงจรปิด เพื่อให้ลูกค้าได้มีความสะดวกสบายในการบำรุงรักษาระบบต่างๆภายในอาคารบ้านเรือน มั่นใจได้เลยว่า บริการของเรานั้น ดำเนินงานโดยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ สามารถตอบโจทย์ตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างแน่นอน

2
หมอประจำบ้าน: กระเพาะอาหารอักเสบ (Gastritis)

กระเพาะอาหารอักเสบ (กระเพาะอักเสบ ก็เรียก) หมายถึง การอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ในปัจจุบันได้แบ่งกระเพาะอาหารอักเสบ เป็นชนิดเยื่อบุกร่อน (erosive gastritis) ชนิดเรื้อรัง (chronic/nonerosive gastritis) และชนิดจำเพาะ (specific types of  gastritis) โรคนี้พบได้ในคนทั่วไป พบมากในผู้ที่กินยาแอสไพริน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (ยาแก้ปวดข้อ) ดื่มสุราจัด และผู้สูงอายุ


สาเหตุ

1. กระเพาะอาหารอักเสบชนิดเยื่อบุกร่อน เยื่อบุกระเพาะอาหารจะมีลักษณะแดงและกร่อน เป็นแผลตื้น ๆ หลายแห่ง อาจมีภาวะเลือดออก จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า กระเพาะอาหารอักเสบชนิดเลือดออก (hemorrhagic gastritis) มักมีสาเหตุจาก

    ยาโดยเฉพาะอย่างยิ่งแอสไพรินและยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
    แอลกอฮอล์
    ภาวะร่างกายเครียดเฉียบพลัน เช่น ไฟไหม้ น้ำร้อนลวกรุนแรง บาดเจ็บรุนแรง การผ่าตัด ภาวะช็อก ภาวะไตวาย ภาวะตับวาย เป็นต้น
    พบร่วมกับโรคตับแข็งที่มีภาวะความดันในหลอดเลือดดำตับสูง (portal hypertension)

2. กระเพาะอาหารอักเสบชนิดเรื้อรัง ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ วินิจฉัยจากการตรวจชิ้นเนื้อ แบ่งออกเป็น

ก. ชนิดเอ จะมีความผิดปกติตรงส่วนต้น (fundus) ของกระเพาะอาหาร มีสาเหตุจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง (autoimmune) มักมีภาวะโลหิตจางจากภาวะขาดวิตามินบี12 (pernicious anemia) ร่วมด้วย เพราะไม่สามารถดูดซึมวิตามินชนิดนี้ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร

ข. ชนิดบี จะมีความผิดปกติตรงส่วนปลาย (antrum) ของกระเพาะอาหาร แต่ก็อาจลุกลามไปทั่วกระเพาะอาหาร มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ ชื่อ เฮลิโคแบกเตอร์ไพโลไร หรือ "เอชไพโลไร" (Helicobacter pylori/H.pylori) เชื้อนี้สามารถติดต่อโดยการกินอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนอุจจาระของผู้ติดเชื้อ แล้วเข้าไปฝังตัวอยู่ใต้เยื่อบุผิวกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังจากเชื้อชนิดนี้มีความสัมพันธ์กับการเกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น (แผลเพ็ปติก) และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร

3. กระเพาะอาหารอักเสบชนิดจำเพาะ พบร่วมกับโรคต่าง ๆ เช่น การติดเชื้อราหรือเชื้อไวรัสในผู้ป่วยเอดส์ การติดเชื้อวัณโรค ซิฟิลิส พยาธิ การถูกสารเคมี เป็นต้น


อาการ

มีอาการปวดแสบตรงใต้ลิ้นปี่ หลังกินอาหารอาจทุเลาหรือเป็นมากขึ้นก็ได้ หรือมีอาการจุกแน่นตรงใต้ลิ้นปี่หลังกินข้าว อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร หรือท้องเดินร่วมด้วย

ในรายที่เป็นชนิดเยื่อบุกร่อน อาจมีอาการอาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายดำ โดยจะมีอาการปวดท้องร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ มักมีประวัติการกินยา ดื่มสุราจัด หรือมีภาวะเครียดก่อนมีเลือดออก

บางรายอาจไม่มีอาการแสดงจนกว่าจะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออก โลหิตจาง


ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยไว้ไม่รักษา อาจกลายเป็นแผลกระเพาะอาหาร หรือมีภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหาร (อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ เมื่องดยาและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วเลือดมักหยุดออกได้เอง มีเพียงส่วนน้อยที่อาจมีเลือดออกมากจนต้องให้เลือด)

ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจกลายเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยขั้นต้นจากอาการ ส่วนการตรวจร่างกายมักไม่พบสิ่งผิดปกติ

แพทย์จะวินิจฉัยได้แน่ชัดโดยการใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหาร (gastroscopy) และตรวจหาเชื้อเอชไพโลไรในกระเพาะอาหาร


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้ามีอาการแสบท้องหรือปวดท้องตอนดึก หรือจุกเสียดแน่นท้องหลังอาหารหรือมีประวัติกินยาแอสไพริน หรือยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ แพทย์จะให้ยาลดการสร้างกรดกลุ่มโปรตอนปั๊มป์ (เช่น โอเมพราโซล, แพนโทพราโซล, แลนโซพราโซล, ราบีพราโซล เป็นต้น) นาน 8 สัปดาห์ ผู้ป่วยต้องงดดื่มแอลกอฮอล์ และยาที่อาจทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ

2. ถ้ามีอาการอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายดำ แพทย์จะรับตัวรับไว้รักษาในโรงพยาบาล อาจต้องให้เลือด และตรวจหาสาเหตุโดยการใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะลำไส้ (endoscopy) แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

3. ในรายที่กินยาแล้วไม่ดีขึ้น หรือเป็นเรื้อรัง หรือน้ำหนักลด จำเป็นต้องตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติม โดยการใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะลำไส้ ตรวจชิ้นเนื้อกระเพาะอาหาร แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ในกรณีที่เป็นกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังจากเชื้อเอชไพโลไร (H.pylori) จะให้ยาปฏิชีวนะหลายชนิดร่วมกันนาน 7-14 วันเพื่อกำจัดเชื้อ


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดจุกแน่นตรงใต้ลิ้นปี่ กินยาลดกรด 2-3 ครั้งแล้วไม่ทุเลา หรือมีอาการอาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นกระเพาะอาหารอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

2. ติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

3. ปฏิบัติตัว ดังนี้

    กินอาหารทีละน้อย แต่บ่อยมื้อขึ้น
    หลีกเลี่ยงอาหารมัน ของทอด อาหารเผ็ดจัด และเปรี้ยวจัด
    งดบุหรี่ แอลกอฮอล์ ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มกาเฟอีน และน้ำอัดลม
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน และยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (ใช้แก้ปวด แก้ปวดข้อ)

4. ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดท้องมาก อาเจียน อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระดำ ซีด ตาเหลือง คลำได้ก้อนในท้อง กินยารักษา 1 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น หรือมีอาการผิดสังเกตที่สงสัยว่าเกิดจากผลข้างเคียงจากยาที่ใช้ (เช่น ลมพิษ ผื่นคัน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ปากแห้ง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดินหรือท้องผูก เป็นต้น)


การป้องกัน

เนื่องจากโรคนี้อาจเกิดจากหลายสาเหตุได้ ซึ่งบางชนิดป้องกันได้ บางชนิดป้องกันไม่ได้

สำหรับคนทั่วไป อาจป้องกันการเกิดกระเพาะอักเสบกลุ่มที่พบได้บ่อย ดังนี้

    หลีกเลี่ยงการดื่มสุรามาก ถ้าจะดื่ม ควรดื่มในปริมาณเล็กน้อยเป็นครั้งคราว
    หลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน และยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (ใช้แก้ปวด แก้ปวดข้อ) ด้วยตัวเองอย่างพร่ำเพรื่อ ในกรณีที่จำเป็น ควรให้แพทย์ตัดสินใจและแนะนำการใช้ที่ปลอดภัย
    ป้องกันการติดเชื้อเอชไพโลไร ด้วยการกินอาหารที่ปรุงสุก และหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ก่อนเตรียมอาหาร ก่อนเปิบข้าว และหลังถ่ายอุจจาระ

ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่กินยาแอสไพริน หรือยากลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ทุกราย ให้สังเกตสีของอุจจาระเป็นประจำ ถ้าเป็นสีดำต้องรีบกลับไปพบแพทย์หรือโรงพยาบาลโดยเร็ว ผู้ป่วยจำนวนมากไม่ทราบว่าอาการถ่ายดำเป็นอาการเลือดออกในกระเพาะลำไส้ มักปล่อยให้เลือดออกมากจนมีอาการอ่อนเพลีย ซีด เป็นลม จึงค่อยไปโรงพยาบาล ซึ่งมักจะต้องให้เลือด และเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง

2. มะเร็งกระเพาะอาหารระยะแรก (ซึ่งพบในคนอายุมากกว่า 40 ปีมากกว่าวัยที่ต่ำกว่า 40 ปี) อาจมีอาการคล้ายอาหารไม่ย่อย (dyspepsia หรือ "โรคกระเพาะ") หรือกระเพาะอาหารอักเสบ และอาการสามารถทุเลาด้วยยาต้านกรดและยาลดการสร้างกรด แต่ต่อมาเมื่อแผลมะเร็งลุกลามมากขึ้น การใช้ยาจะไม่ได้ผล และจะมีอาการน้ำหนักลด อาเจียน หรือถ่ายดำตามมาได้ ดังนั้น หากรักษา "โรคกระเพาะ" โดยวินิจฉัยจากอาการแสดง 2 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น  มีอาการกำเริบบ่อย หรือพบในคนอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ควรปรึกษาแพทย์ให้ทำการตรวจพิเศษ (เช่น ส่องกล้องหรือเอกซเรย์กระเพาะลำไส้) เพื่อแยกแยะสาเหตุให้แน่ชัด หากพบว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารจะได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ ซึ่งได้ผลดีกว่าพบในระยะลุกลามแล้ว

3
คอนโดติดรถไฟฟ้า วิสซ์ดอม โคเอ็กซ์ ปิ่นเกล้า (Whizdom COEX Pinklao)
เริ่มต้น 3.4 ลบ. 
 
วิสซ์ดอม โคเอ็กซ์ ปิ่นเกล้า (Whizdom COEX Pinklao)
เตรียมพบกับคอนโดมิเนียมมิกซ์ยูส บนพื้นที่รวมกว่า 4 ไร่ บนถนนจรัญสนิทวงศ์ โครงการประกอบไปด้วย 2 ทาวเวอร์ ตั้งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานีบางยี่ขัน เร็วๆ นี้

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ               วิสซ์ดอม โคเอ็กซ์ ปิ่นเกล้า (Whizdom COEX Pinklao)
 เจ้าของโครงการ          แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น
 แบรนด์ย่อย               วิสซ์ดอม โคเอ็กซ์
 ราคา                       เริ่มต้น 3.4 ลบ.
 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล              คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด           High Rise (9 ชั้นขึ้นไป)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี           สตูดิโอ, 1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน, Penthouse
 ขนาดห้องที่มี              ตั้งแต่ 26.00 ถึง 95.00 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด             4 ไร่
 จำนวนตึก                  2 อาคาร
 จำนวนชั้น                 19 ชั้น
 จำนวนห้อง               800 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค           สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., กล้องวงจรปิดโครงการ, ประตู Key Card, สวนหย่อม, Co-Working Space

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน       บางพลัด
 ที่ตั้ง      ถ.จรัญสนิทวงศ์ แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร 10700
 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ห้างสรรพสินค้า
Central ปิ่นเกล้า 1.5 กม.
Major Cineplex ปิ่นเกล้า 1.5 กม.

สถานศึกษา
รร.เซนต์คาเบรียล 5.1 กม.
รร.เซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ 5.3 กม.
ม.ธรรมศาสตร์ 4.0 กม.
ม.ศิลปากร 4.6 กม.

สถานพยาบาล
รพ.เจ้าพระยา 2.7 กม.
รพ.ศิริราช 2.7 กม.
รพ.ธนบุรี 1 3.7 กม.
รพ.ยันฮี 5.5 กม.

4
หมอประจำบ้าน: เลือดกำเดา (Epistaxis/Nose bleed)

เลือดกำเดา (เลือดออกจากจมูก) เกิดจากหลอดเลือดฝอยที่บริเวณเยื่อจมูกมีการแตกทำลาย ทำให้มีเลือดออกจากรูจมูก

ส่วนใหญ่เกิดจากหลอดเลือดฝอยที่ผนังกั้นจมูกด้านหน้าแตก มักมีเลือดออกจากจมูกข้างเดียว อาการมักไม่รุนแรง และเลือดหยุดได้ง่าย ภาวะนี้พบบ่อยในเด็ก

ส่วนน้อยเกิดจากหลอดเลือดฝอยที่ผนังจมูกด้านข้างซึ่งอยู่ลึกไปทางด้านหลังของจมูก (มีขนาดที่ใหญ่กว่าหลอดเลือดฝอยที่ผนังกั้นจมูกด้านหน้า) แตก อาจมีเลือดออกจากจมูก 2 ข้าง และอาจมีเลือดออกมาก ซึ่งจะไหลลงคอและปาก ภาวะนี้พบบ่อยในผู้ใหญ่

เลือดกำเดาส่วนมากมักเกิดอาการขึ้นฉับพลัน บางรายอาจมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย พบได้ในคนทุกวัย พบบ่อยในเด็กเล็ก (อายุ 2-10 ปี) และผู้สูงอายุ (อายุ 50-80 ปี) 

นอกจากนี้ ยังพบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ (เนื่องจากหลอดเลือดขยายตัว ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแตกได้ง่าย) ผู้ที่สูบบุหรี่ (เนื่องจากบุหรี่ทำให้ระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูก จมูกแห้ง) หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด (เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว และยับยั้งการแข็งตัวของเลือด)

ส่วนมากจะไม่มีอันตรายร้ายแรง และหายได้เอง

สาเหตุ

โดยมากมักไม่มีสาเหตุร้ายแรง ซึ่งจะมีเลือดออกเพียงเล็กน้อยและหยุดได้เอง

สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ การแคะจมูกหรือสั่งน้ำมูกแรง ๆ การเจออากาศแห้งหรือหนาวเย็น หรือนอนในห้องปรับอากาศ การอักเสบของเยื่อจมูก (เช่น ไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ เยื่อจมูกอักเสบ เป็นต้น) การอยู่ในที่สูงซึ่งมีความดันบรรยากาศลดลง (เช่น การนั่งเครื่องบิน การอยู่บนภูเขาสูง)

อาจเกิดจากได้รับบาดเจ็บ (เช่น ถูกแรงกระแทกที่ดั้งจมูก) มีสิ่งแปลกปลอมเข้าจมูก ผนังกั้นจมูกคด ติ่งเนื้อเมือกจมูก การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด

อาจพบร่วมกับโรคติดเชื้อ (เช่น หัด มาลาเรีย ไข้เลือดออก เป็นต้น) ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง โรคตับเรื้อรัง (มีภาวะเลือดออกง่าย) การใช้ยา (เช่น ยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก แก้คัดจมูก)

ผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูง บางครั้งก็อาจมีเลือดกำเดาไหล และถ้ามีความดันโลหิตสูงแบบวิกฤต (hypertensive crisis คือ ความดันช่วงบนมากกว่าหรือเท่ากับ 180 หรือช่วงล่างมากกว่าหรือเท่ากับ 120 มม.ปรอท) ก็มักจะมีอาการเลือดกำเดาไหลบ่อย

ส่วนน้อยอาจมีสาเหตุร้ายแรง เช่น โรคเลือดที่มีเลือดออกง่าย ได้แก่ ฮีโมฟิเลีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว โลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ ไอทีพี เป็นต้น ซึ่งมักมีเลือดออกตามไรฟัน มีจ้ำเขียวขึ้นตามตัว อาจมีเลือดออกที่อื่น ๆ มีไข้ หรือตับโตม้ามโตร่วมด้วย

ในผู้ใหญ่ที่มีเลือดกำเดาบ่อยร่วมกับอาการคัดจมูก หูอื้อหรือมีก้อนบวมที่ข้างคอ อาจเกิดจากมะเร็ง หรือเนื้องอกในจมูกหรือโพรงหลังจมูก

อาการ

มีเลือดสด ๆ ไหลออกทางรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้าง

ถ้าออกที่ด้านหลังของจมูกอาจมีเลือดไหลลงคอและปาก ผู้ป่วยอาจมีอาการไอออกมาเป็นเลือดจากเลือดกำเดาที่ไหลลงคอ หรืออาจกลืนเลือดลงไปในกระเพาะอาหารทำให้อาเจียน หรือมีอาการถ่ายอุจจาระดำ (ซึ่งเป็นเลือดเก่า มาจากเลือดกำเดาที่ไหลลงไปในลำไส้) ในวันต่อ ๆ มา


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าออกมากอาจทำให้เกิดภาวะซีดได้ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นค่อนข้างน้อย

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

อาจตรวจพบเลือดกำเดาไหลหรือจุดเลือดออกที่เยื่อจมูก ภาวะซีด (ในรายที่เสียเลือดมาก)

ในรายที่มีโรคที่เป็นสาเหตุของเลือดกำเดา อาจตรวจพบความผิดปกติ เช่น ไข้ น้ำมูกไหล จุดแดงจ้ำเขียวตามตัว เลือดออกตามที่อื่น ๆ ผนังกั้นจมูกคด ติ่งเนื้อเมือกจมูก สิ่งแปลกปลอมในรูจมูก ความดันโลหิตสูง ดีซ่าน ตับโต เป็นต้น 

ในรายที่เลือดกำเดาออกรุนแรง เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย หรือตรวจพบหรือสงสัยว่ามีโรคที่เป็นสาเหตุของเลือดกำเดา แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ใช้กล้องส่องตรวจจมูกและโพรงหลังจมูก ตรวจชิ้นเนื้อ ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้การปฐมพยาบาล โดยให้ผู้ป่วยนั่งตัวตรง โน้มตัวไปข้างหน้า ก้มศีรษะเล็กน้อย ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบจมูกทั้ง 2 ข้างให้แน่นเป็นเวลา 10 นาที บอกให้ผู้ป่วยหายใจทางปากแทน

ส่วนมากมักจะได้ผลโดยวิธีดังกล่าว ถ้าไม่ได้ผลให้ทำซ้ำอีกครั้งนาน 10 นาที

ถ้าเลือดยังไม่หยุด แพทย์จะใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาดชิ้นเล็ก ๆ ชุบอะดรีนาลิน ขนาด 1:1,000 ให้ชุ่มสอดเข้าในรูจมูกข้างที่มีเลือดออก ยัดให้แน่น ยานี้จะช่วยให้หลอดเลือดฝอยตีบลงและเลือดหยุดได้ ควรยัดผ้าก๊อซไว้นาน 2-3 ชั่วโมง เมื่อแน่ใจว่าเลือดหยุดดีแล้วจึงค่อย ๆ ดึงออก

ในรายที่เลือดออกไม่หยุด อาจต้องรักษาโดยการจี้ด้วยสารเคมี-ซิลเวอร์ไนเทรต (silver nitrate) หรือจี้ด้วยความร้อน (electrocautery)

2. ในรายที่แพทย์ทำการตรวจเพิ่มเติม พบภาวะซีด หรือโรคที่เป็นสาเหตุ ก็จะทำการรักษาภาวะ/โรคที่ตรวจพบ เช่น ให้ยาบำรุงโลหิตในรายที่มีภาวะซีดจากการเสียเลือด, ให้ยารักษาโรค (เช่น ไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ความดันโลหิตสูง โรคเลือด), ปรับเปลี่ยนยา (ที่ใช้รักษาโรคอยู่เดิม) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เลือดกำเดาไหล, เอาสิ่งแปลกปลอมออก, ผ่าตัดแก้ไข (เช่น ผนังกั้นจมูกคด เนื้องอกในโพรงจมูก) เป็นต้น

ผลการรักษา ส่วนใหญ่หายได้ภายในเวลาสั้น ๆ โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่ถ้าหลังจากนั้นผู้ป่วยไม่ได้หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการ ก็อาจกำเริบซ้ำได้อีก

ส่วนน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ซึ่งมีโรคที่เป็นสาเหตุของเลือดกำเดา จำเป็นต้องได้รับการรักษาโรคที่เป็นสาเหตุอย่างต่อเนื่อง
 

วิธีห้ามเลือดกำเดา

การปฐมพยาบาล สำหรับอาการเลือดกำเดาไหล

    จัดให้ผู้ป่วยนั่งตัวตรง โน้มตัวไปข้างหน้า ก้มศีรษะเล็กน้อย
    ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบจมูกทั้ง 2 ข้างให้แน่น บอกให้ผู้ป่วยหายใจทางปากแทน นาน 10 นาที
    ถ้าคลายนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ที่บีบจมูกออกแล้วเลือดยังไม่หยุด ให้ทำการบีบจมูกตามขั้นตอนข้างต้นซ้ำอีกครั้ง นาน 10 นาที ถ้าเลือดยังไม่หยุดควรรีบไปพบแพทย์ หรือให้แพทย์ทำการช่วยเหลือด้วยวิธีอื่นต่อไป

หมายเหตุ

    ระหว่างให้การปฐมพยาบาล อย่าให้ผู้ป่วยนอนราบหรือเงยหน้าขึ้น เพราะผู้ป่วยอาจกลืนเลือดลงไประคายต่อกระเพาะอาหาร เกิดอาการอาเจียนได้ หากมีเลือดไหลลงคอหรือปาก ควรคายออก อย่ากลืนลงไป
    หลังจากให้การช่วยเหลือจนเลือดหยุดแล้ว ควรระวังไม่ให้มีเลือดกำเดาออกอีก โดย
    - รักษาศีรษะให้อยู่ในระดับสูงกว่าหัวใจ อย่าก้มศีรษะให้อยู่ต่ำกว่าระดับหัวใจ และห้ามออกแรงเบ่ง ยกของหนัก เป็นเวลา 4-5 ชั่วโมง
    - ห้ามสั่งน้ำมูก แคะจมูก ขยี้จมูก เป็นเวลา 4-5 วัน
    - ถ้าเป็นไปได้ควรระวังไม่ให้ไอ จาม

การดูแลตนเอง

1. เมื่อมีเลือดกำเดาไหล ควรทำการปฐมพยาบาล

ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ทำการปฐมพยาบาลไม่ได้ผล หรือมีเลือดกำเดาออกนานเกิน 20 นาที
    เลือดออกมาก หรือมีเลือดออกตามที่อื่น ๆ
    หายใจลำบาก
    มีอาการอาเจียนเพราะกลืนเลือดลงกระเพาะอาหารมาก
    ได้รับบาดเจ็บรุนแรง เช่น รถชน ตกจากที่สูง ถูกทุบตีที่ศีรษะ/ใบหน้า/จมูก
    มีภาวะซีดจากการเสียเลือด หรือมีจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว
    มีประวัติกินยาต้านเกล็ดเลือด/สารกันเลือดเป็นลิ่ม
    มีโรคประจำตัว เช่น โรคเลือด ความดันโลหิตสูง โรคตับเรื้อรัง
    พบในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
    เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย

2. กรณีที่ไปพบแพทย์ เมื่อได้รับการรักษาจากแพทย์ ควรดูแลตนเองดังนี้

    กินยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัด
    ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
    - มีเลือดกำเดาไหลไม่หยุดหรือกำเริบใหม่
    - เจ็บหรือแน่นจมูกมาก หายใจลำบาก ปวดศีรษะมาก อาเจียนบ่อย มีไข้สูง เบื่อ อาหาร หรือน้ำหนักลด
    - กินยาที่แพทย์ให้กลับไปกินที่บ้าน แล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

การป้องกัน

สำหรับเลือดกำเดาที่พบบ่อยซึ่งมักเกิดจากสาเหตุที่ป้องกันได้ ควรปฏิบัติ ดังนี้

    หลีกเลี่ยงการแคะจมูก และตัดเล็บให้สั้น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก)
    หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรง ๆ
    ไม่สูบบุหรี่
    จำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่ม
    ถ้าเป็นหวัด น้ำมูกไหล ใช้ยาตามขนาดที่แพทย์แนะนำ และไม่ใช้ติดต่อกันนาน ๆ
    หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อากาศแห้งหรือหนาวเย็น ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรพ่นรูจมูกด้วยสเปรย์น้ำเกลือ/หยอดจมูกด้วยน้ำเกลือ วันละ 2-3 ครั้งเพื่อให้จมูกชุ่มชื้น
    ถ้ามีอาการเลือดกำเดาเวลานอนในห้องปรับอากาศ ควรตั้งเครื่องเพิ่มความชื้นไว้ในห้อง หรือวางภาชนะใส่น้ำ (เช่น แก้ว ขัน กระป๋อง กะละมัง) ไว้ใกล้หัวนอน เพื่อเพิ่มความชื้น และ/หรือใช้วาสลินป้ายในรูจมูกก่อนนอน
    ถ้าทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บต่อศีรษะ/จมูก ควรใช้อุปกรณ์ป้องกัน
    ในรายที่เกิดจากสาเหตุที่ป้องกันได้ เช่น ไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ความดันโลหิตสูง เป็นต้น ก็ควรดูแลรักษาโรคเหล่านี้ให้ถูกต้อง


ข้อแนะนำ

1. เลือดกำเดาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พบในเด็ก มักไม่รุนแรง และหยุดได้ภายใน 20 นาที โดยอาจหยุดได้เองหรือหลังให้การปฐมพยาบาล อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีเลือดกำเดาไหลนานหรือรุนแรง หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

2. ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ หากมีเลือดกำเดาไหล อาจมีความรุนแรง มีเลือดไหลมากและนานได้ เนื่องจากอาจมีโรคประจำตัว (เช่น โรคเลือด โรคตับเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง มะเร็งโพรงหลังจมูก) หรือกินยารักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดที่มีผลทำให้เลือดออกง่าย (เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด สารกันเลือดเป็นลิ่ม) ดังนั้น เมื่อมีเลือดกำเดาเกิดขึ้น ควรเฝ้าสังเกตอาการ หากมีเลือดกำเดาออกมากหรือนานเกิน 20 นาที ก็ควรรีบไปพบแพทย์

5
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


6
ปล่อยรถป้ายแดง TOYOTA YARIS CROSS 1.5 HEV PREMIUM ปี 2025 ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โตโยต้า Toyota Yaris Cross HEV Premium
TOYOTA YARIS CROSS HEV PREMIUM ยนตรกรรม SUV ไฮบริดใหม่ล่าสุด ที่ผสมผสานการใช้งานแบบ “URBAN x ADVENTURE” ตอบสนองการขับขี่ในเมืองที่คล่องแคล่ว สนุกสนาน และสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดดเด่นด้วยฟังก์ชันอำนวยความสะดวก และอุปกรณ์ความปลอดภัยระดับ Top Class ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ไฮบริด 2NR-VEX ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน เกียร์อัตโนมัติ e-CVT ให้อัตราเร่งดี ห้องโดยสารเงียบ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อัตราการปล่อย CO2 ต่ำประหยัดน้ำมันที่สุดในคลาสถึง 26.3 กม./ลิตร (อ้างอิงจาก Eco Sticker)

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 9 พ.ค. - 31 พ.ค. 2568
ดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.29% ตลอดอายุสัญญา

ราคาพิเศษ 779,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

ข้อมูลทั่วไป

เครื่องยนต์               2NR-VEX, 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i  92 แรงม้า / 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 121 นิวตันเมตร / 4,000-4,800 รอบ/นาที พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้กำลัง 80 แรงม้า และแรงบิด 141 นิวตันเมตร และแบตเตอรี่ Li-ion 177.6 โวลต์ ที่มีความจุ 4.3 แอมแปร์-ชั่วโมง เมื่อรวมกำลังทั้งหมดรถคันนี้จะให้ถึง 111 แรงม้า

ขนาดเครื่องยนต์ (CC)       1,496 CC
กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)     91 แรงม้า
ระบบเกียร์                      เกียร์อัตโนมัติ
รูปแบบเกียร์                    E-CVT
ระบบเบรค ABS               มี (พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA)
ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง        เบนซิน 95,เบนซิน 91,แก๊สโซฮอล์ 95 (E10),แก๊สโซฮอล์ 91,เบนซิน E20
ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)       36 ลิตร
ระบบจ่ายน้ำมัน                หัวฉีดอิเล็กทรอนิดส์ EFi
น้ำหนักตัวรถ                     -
ประเภทยางรถยนต์              -
ขนาดล้อ (นิ้ว)                ล้ออัลลอย (17 นิ้ว แบบปัดเงาสีทูโทน)
ระบบขับเคลื่อน               ขับเคลื่อนล้อหน้า
รุ่นย่อยอื่นๆ รถยนต์          Toyota Yaris Cross



7
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส ส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพหรือไม่
 
ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของคนเรา ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้สุขภาพร่างกาย เพราะประกอบไปด้วยอวัยะสำคัญหลายส่วนที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น ฟัน, ลิ้น, เหงือก, เส้นเลือด และ เส้นประสาท โดยแต่ละส่วนมีหน้าที่แตกต่างกัน ซึ่งร่างกายของคนเราไม่สามารถขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปได้ นอกจากนี้ คนเราต้องรับประทานอาหารผ่านทางช่องปาก ไม่ว่าจะเป็นอาหารแข็ง หรืออาหารเหลว แต่หากรับประทานเข้าไปแล้วทำความสะอาดไม่ทั่วถึง และดูแลไม่ดีก็จะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพในช่องปากและฟันตามมามากมาย


ดังนั้น เราจึงควรที่จะดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันให้ดี เพื่อที่จะได้มีสุขภาพร่างกายที่ดีตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม หากเรามีปัญหาเกี่ยวกับช่องปากและฟัน การเข้ารับการรักษาหรือแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาที่อาจจะตามมาได้ในอนาคต หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า สุขภาพช่องปากและฟัน เป็นกระจกสะท้อนของสุขภาพโดยรวม ซึ่งเราจะต้องดูแลตัวเองให้ดี เช่นเดียวกับการเข้ารับการจัดฟัน แน่นอนว่า หากเราไม่ดูแลตัวเองให้ดีในระหว่างการจัดฟัน ก็จะทำให้ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายได้ เช่น ถ้าหากเราดูแลรักษาคาวมสะอาดช่องปากและฟันไม่ดี ก็จะทำให้เกิดฟันผุ
ซึ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อย่างการรับประทานอาหาร

ซึ่งถ้าหากเรามีอาการปวดฟัน แน่นอนว่า ทำให้รับประทานอาหารได้ไม่สะดวก ซึ่งการที่เราได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอก็จะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา ดังนั้น ถ้าหากมีปัญหาฟัน สิ่งที่ควรทำคือการเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาทันที เช่นถ้าหากมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการจัดฟัน เพื่อการบดเคี้ยวอาหารที่ดีขึ้น แต่ใครที่อยากจะเข้ารับการจัดฟันแบบใส คงมีคำถามว่า เมื่อเราเข้ารับการจัดฟันแบบใสแล้ว จะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของเราหรือไม่
 
วันนี้ทางคลินิก เราจะมาพูดถึงการเข้ารับการจัดฟันแบบใส ว่ามีผลต่อร่างกายอย่างไรบ้าง เชื่อว่าหลายคนอาจจะสงสัยและกังวลว่าจะเกิดผลต่อร่างกายของเรา ซึ่งการจัดฟันนั้น อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นว่า ถ้าเรารักษาความสะอาดช่องปากและฟันอย่างดี ก็จะช่วยทำให้เรามีสุขภาพฟันที่แข็งแรง และยังเป็นการช่วยรักษาสุขภาพช่องปากดีขึ้น ลดปัญหาฟันผุได้ เพราะฟันที่เรียงตัวไม่เป็นระเบียบ เป็นสาเหตุของเศษอาหาร ที่ไปติดอยู่ตามซอกฟัน ซึ่งจะทำให้เกิดฟันผุ ซึ่งการมีฟันผุส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม


แต่การเข้ารับการจัดฟันแบบใสนั้น ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถรับประทานอาหารได้อย่างเต็มที่ ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ช่วยทำให้มีการบดเคี้ยวอาหารที่ดีขึ้น ส่งผลดีต่อระบบย่อยอาหาร ดังนั้น การจัดฟันแบบใส จึงไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย และยังเป็นการช่วยทำให้เรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอีกด้วย นอกจากนี้ เครื่องมือการจัดฟันแบบใส ยังไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ไม่เกิดผลกระทบต่อร่างกายของเรา เพราะมีความปลอดภัย ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันได้อย่างไร้กังวล


อย่างไรก็ตามการดูแลรักษาความสะอาดและการปฏิบัติตัวในระหว่างการจัดฟัน ก็ถือว่ามีความสำคัญมากเช่นเดียวกัน เพราะถ้าหากเราละเลยในเรื่องของการทำความสะอาด แน่นอนว่าจะทำให้เกิดปัญหาฟันตามมาได้ และถ้าแปรงฟันไม่ดีก็ส่งผลทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรียภายในช่องปาก ทำให้เกิดกลิ่นปากได้เหมือนกัน ดังนั้น ผู้เข้ารับการจัดฟัน จะต้องเอาใจใส่ในการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันเป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากลิ่นปากและฟันผุ โรคเหงือกอักเสบ หรือเป็นแผลในช่องปากตามมา


ทั้งนี้ หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส หรือกำลังตัดสินใจที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก Idol Smile เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการจัดฟันแบบใส และคลินิกของเรา ยังได้รับการรับรองสูงสุดจากทาง Invisalign ให้สามารถให้บริการทางด้านการจัดฟันแบบใส ได้อย่างมีมาตรฐานและความปลอดภัย จึงทำให้มั่นใจได้ว่า คุณจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้น มีฟันที่เรียงตัวสวยงาม มีบุคลิกภาพที่มั่นใจ มีรอยยิ้มที่สดใส และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

8
ปล่อยรถราคาพิเศษ BMW iX xDrive50 Sport ปี 2024 ไมล์น้อยและโปรโมชั่นพิเศษ

บีเอ็มดับเบิลยู BMW i X xDrive50 Sport ปี 2022
BMW iX xDrive50 Sport ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง BMW eDrive เจเนอเรชันที่ 5 พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้า BMW xDrive Electric ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 2 ตัว ที่ให้กำลังรวมสูงสุด 523 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 765 นิวตัน-เมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 4.6 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 200 กม./ชม. เสริมด้วยระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อ (Near-actuator wheel slip limitation) ทำงานคู่กับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นครั้งแรก (ราคาขายรวม BSI STANDARD Package)

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 13 พ.ค. - 31 พ.ค. 2568
วันรับประกันเริ่ม 31.08.2024
BSI STANDARD PACKAGE
BSI Ultimate เพิ่มเงิน = 240,000 บาท

ราคาพิเศษ 3,899,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

ข้อมูลทั่วไป

มอเตอร์ไฟฟ้า                    มอเตอร์ไฟฟ้า 523 แรงม้า มอเตอร์ไฟฟ้าแรงบิดสูงสุด  765 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.6 วินาทีความเร็วสูงสุด 200 กม./ชม. ระยะทางขับเคลื่่อนไฟฟ้า1, มาตรฐาน NEDC 570 กิโลเมตร, ระยะทางขับเคลื่่อนไฟฟ้า1, มาตรฐาน WLTP 549 - 630 กิโลเมตร

กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)         523 แรงม้า
ระบบเกียร์                           เกียร์อัตโนมัติ
รูปแบบเกียร์                          ไฟฟ้า
ระบบเบรค ABS                     มี
ชนิดแบตเตอรี่                       ไฟฟ้า
ความจุแบตเตอรี่                     N/A
ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง       630 กิโลเมตร
น้ำหนักตัวรถ                             -
ประเภทยางรถยนต์                       -
ขนาดล้อ (นิ้ว)
ระบบขับเคลื่อน                      ขับเคลื่อนสี่ล้อ (BMW xDrive electric all-wheel drive)


9
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


10
บริการด้านอาหาร: กินคีโต ลดน้ำหนักได้จริงไหม ?

กระแสการรับประทานอาหารคีโต ในปัจจุบันนี้ถือว่า ได้รับความนิยมมาก เป็นการรับประทานที่เน้นไขมันสูง รองมาด้วยโปรตีน โดยลดคาร์โบไฮเดรตให้เหลือในปริมาณที่น้อยมากๆ ลดการบริโภคคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลให้น้อย แต่ให้แทนที่ด้วยไขมันทั้งจากพืชและสัตว์แทน โดยการรับประทานไขมันและน้ำมันถือว่าเป็นเรื่องดีของคนชอบรับประทานของมัน แต่ต้องเป็นไขมันที่มาจากธรรมชาติ โดยพยายามรับประทานไขมันต่างชนิดควบคู่กันไป เช่น ไขมันจากเนื้อสัตว์ เนื้อติดมัน ไขมันจากพืช เนย ชีส น้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก อาหารจำพวกถั่ว เป็นต้น

นอกจากนี้ สามารถเลือกรับประทานเนื้อสัตว์และไข่ได้ แต่ในปริมาณที่เหมาะสม เน้นการรับประทานผัก โดยเฉพาะจำพวกผักใบเขียว สามารถรับประทานอาหารที่ทำจากนม แต่ควรเลี่ยงการดื่มนม โดยเน้นจำพวกที่ไม่พร่องมันเนย ดังนั้น เราสามารถสั่งกาแฟใส่ครีมแท้ แต่ที่ว่ามานี้ไม่รวมชีสเค้ก ชานมไข่มุก ชาเย็น หรือเวลาว่าง ก็คงจะเป็นการรับประทานถั่วและธัญพืชอย่างแมคคาเดเมีย หรืออัลมอนด์ ที่ทั้งมันและอร่อยได้อีกด้วย ที่เราอธิบายมาข้างต้นนั้น หลายคนสงสัยว่า การรับประทานคีโตนั้น เมื่อเราจะเน้นในการรับประทานไขมัน แล้วจะทำให้เราสามารถลดน้ำหนักได้จริงหรือ วันนี้เราจะมาพูดถึงการรับประทานคีโตว่า เราจะสามารถรับประทานคีโตให้ได้ผลได้อย่างไร และควรที่จะเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทใดบ้าง

ในการรับประทานอาหารแบบคีโต อย่างที่กล่าวมาว่า คือการกินไขมันที่มาจากธรรมชาติล้วนๆ เป็นระยะเวลาติดต่อกัน เพื่อให้ร่างกายปรับพฤติกรรมการใช้สารอาหารมาเป็นแหล่งพลังงาน กล่าวคือ นำไขมันมาใช้แทน คาร์โบไฮเดรต และ โปรตีน โดยการรับประทานอาหารแบบคิโต จะเน้นรับประทานพวกเนื้อติดมัน ไขมันจากพืชและสัตว์ ถั่วต่างๆ เนย และ ชีส และลดปริมาณอาหารที่ให้สารอาหารจำพวก โปรตีน คาโบไฮเดรต น้ำตาล ที่มีอยู่ใน ข้าวเจ้า ข้าวสาลี ข้าวโพด ต่างๆ เพื่อให้ระบบของย่อยอาหารของร่างกายจดจำและจำเป็นต้องใช้ไขมันมาเป็นแหล่งพลังงานแทน และเน้นทานผักใบเขียว

สำหรับคำถามที่ว่า การรับประทานคีโต สามารถลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่นั้น การที่เรางดหรือกินคาร์โบไฮเดรต ในปริมาณที่น้อยมาก ๆ จะทำให้ร่างกายคิดว่า เรากำลังอดอาหาร ทำให้ร่างกายจึงดึงไขมันในร่างกายมาเผาผลาญ รวมทั้งน้ำในร่างกายก็จะถูกย่อยสลายไปด้วย ซึ่งเมื่อไขมันและน้ำน้อยลง น้ำหนักเราก็จะลดลงตามไปด้วย เหมือนกับว่าเรากำลังอดอาหารอยู่จริง ๆ อีกทั้งคีโตที่เกิดจากภาวะคีโตซิส ยังส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะเบื่ออาหารร่วมด้วย จึงส่งผลให้ยิ่งรับประทานอาหารได้น้อยลง น้ำหนักจึงลดลงมากขึ้นไปอีก หลักๆแล้ว

การลดน้ำหนักด้วยการรับประทานคีโต หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นวิธีที่ง่าย แค่เราจะต้องงดอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล  โดยส่วนใหญ่จะเป็นพืชตระกูลข้าว เช่น ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี ข้าวเจ้า ข้าวโอ๊ต รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากข้าวต่าง ๆ เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว พาสต้า พิซซ่า ขนมปัง และควรงดอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลทุกฃนิด เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้ เค้ก ไอศกรีม หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป เนื่องจากส่วนใหญ่มักมีสารสังเคราะห์อย่างผงชูรส ซัลไฟต์ รวมทั้งแป้งเป็นส่วนใหญ่ เช่น หมูยอ ลูกชิ้น อย่างไรก็ตาม แม้การรับประทานคีโต จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้จริง แต่ก็มีผลข้างเคียงเช่นกัน

เพราะการกินอาหารประเภทเดียวกัน หรือขาดสารอาหารใดนาน ๆ จะทำให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายสูญเสียสมดุลในการทำงาน ส่งผลให้เกิดผลเสียต่าง ๆ ตามมา ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ เช่นเกิดภาวะขาดสารอาหาร เนื่องจากการต้องงดหรือลดปริมาณอาหารบางประเภท จึงอาจทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารสำคัญบางชนิดไม่เพียงพอ จนเกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมาได้ หรืออาการขาดน้ำและแร่ธาตุ เพราะจะถูกขับออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ ส่งผลให้ปัสสาวะบ่อยและมากกว่าปกติ ซึ่งเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำและแร่ธาตุ อาจเสี่ยงต่อภาวะไตเสียหายฉับพลัน หรือเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หรือเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อร่างกายของเรา ทางเราเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ ที่สำคัญเราจะต้องดูแลตัวเองให้มากๆ ถึงแม้ว่าจะเราจะเลือกวิธีการลดน้ำหนักไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ก็ต้องรับประทานอย่างเหมาะสม เพื่อให้ร่างกายของเราได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ และดีต่อสุขภาพ

11
มอเตอร์ไซด์ใหม่ 2025: โซล่า SOLAR Proud 125CBS ปี 2024
44,900 บาท

โซล่า SOLAR Proud 125CBS ปี 2024
Solar Proud 125CBS Proud Up Your Life อีกขั้นของความ Proud ในแบบคุณ รถจักรยานยนต์ดีไซน์พรีเมียม เรียบหรู เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ครบทุกฟังก์ชันการใช้งาน อาทิ เรือนไมล์ Full Digital LCD เปลี่ยนสีตามสถานะเกียร์ที่ใช้งานไม่ต้องคอยมองบ่อย ๆ และเบาะนั่งตอนยาว ใช้งานสะดวก นั่งสบายทั้งผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร มั่นใจทุกครั้งในการหยุดรถด้วย ดิสก์เบรกทั้งหน้า-หลัง ทำงานควบคู่กับระบบ Combine Brake System (CBS) หยุดรถได้อย่างมั่นใจ พร้อมล้อแม็กอะลูมิเนียมอัลลอย ขนาด 17 นิ้ว ที่จะทำให้ชีวิตคุณง่ายในทุกเส้นทางไปกับอีกขั้นในแบบคุณ แถมยังมากับลวดลายกราฟิกใหม่ทั้งคัน New Proud 125CBS ยังมาพร้อม 2 สีใหม่ล่าสุดอย่าง สีขาว (Snow Pearl), สีฟ้า (Royal Blue) พร้อมให้คุณ Proud ในแบบคุณ

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์              SOLAR
   รุ่น                   โซล่า SOLAR Proud 125CBS ปี 2024
   ประเภทรถ          รถครอบครัวสแตนดาร์ด
   ปีที่เปิดตัว           2024
   ราคา                 44,900 บาท

สเปค
   รูปแบบเกียร์            เกียร์ธรรมดา
   ระบบเกียร์              แบบ 4 เกียร์วน
   รายละเอียดเครื่องยนต์  1 สูบ SOHC 2 วาล์ว
   ระบบระบายความร้อน    อากาศ
   ระบบสตาร์ท              สตาร์ทเท้าพร้อมไฟฟ้า (มือ)
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)  123.7 CC
   แบบเครื่องยนต์           4 จังหวะ
   ระบบจุดระเบิด            CDI
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง    แก๊สโซฮอล์ 95 (E10), แก๊สโซฮอล์ 91
   ระบบจ่ายน้ำมัน             คาบูเรเตอร์
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)     3.5 ลิตร
   ระบบกันสะเทือน           ล้อหน้า Telescopic, ล้อหลัง Coil Spring
   ระบบเบรค                  ล้อหน้า ดิสก์เบรก (ขนาด 220 มม. แบบ Combine Brake System), ล้อหลัง ดิสก์เบรก (ขนาด 190 มม. แบบ Combine Brake System)
   แบบวงล้อ                   แม็ก
   ขนาดยาง                    ล้อหน้า 2.25-17 33L, ล้อหลัง 2.50-17 38L
   ขนาด (ยาวxกว้างxสูง มม.)   1,930 x 785 x 1,220
   น้ำหนักตัวรถ                    93.00 กก.

12
ลักษณะฟันของเด็ก ที่ควรเข้ารับการจัดฟันเด็ก

เด็กๆหลายคนที่มีปัญหาในเรื่องของฟัน ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างของฟัน หรือลักษณะของฟันที่มีการขึ้นที่ผิดปกติ อาจจะมีความรู้สึกไม่มั่นใจและยังส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร หรือการทำความสะอาดช่องปากและฟัน ในแง่ของการรับประทานอาหาร ปัญหาฟันอาจจะทำให้เด็กบดเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ และในแง่ของการทำความสะอาด ถ้าหากเรามีฟันที่ซ้อนเก ก็จะทำให้ทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุและโรคเหงือกอักเสบ ดังนั้น การที่เรามีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย ถือว่าเราได้เปรียบในหลายๆด้าน แถมยังทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกด้วย ในเรื่องของลักษณะของฟันของเด็กนั้น ก็มีความแตกต่างกัน ซึ่งแน่นอนว่า ลักษณะของการขึ้นของฟันที่มีความผิดปกติ ย่อมส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็ก ซึ่งการแก้ไขลักษณะฟัน

สามารถแก้ไขได้ด้วยเข้ารับการ จัดฟันในเด็ก ซึ่งต้องบอกว่าเป็นการจัดฟันที่มีประสิทธิภาพและมีผลการรักษาที่แม่นยำ เพราะการจัดฟันในเด็ก จะดีกว่าการจัดฟันในตอนโต ดังนั้น ประสิทธิภาพก็จะดีกว่า ทั้งยัง เป็นการช่วยส่งเสริมให้เด็กหันมาดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันตั้งแต่เด็กๆด้วย ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด ที่อยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็ควรที่จะศึกษาข้อมูลให้ดี หาคลินิกทันตกรรมที่มีความน่าเชื่อถือ มีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยต่อตัวเด็กด้วย


ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กนั้น  พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะดูแลเอาใจใส่ หมั่นสังเกตพฤติกรรมและสังเกตรูปร่างฟันของลูก ถ้าหากพบสัญญาณความผิดปกติขิงลักษณะของฟัน ก็ควรพาบุตรหลานเข้าพบทันตแพทย์เพื่อทำการตรวจช่องปาก เพื่อที่จะลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาฟันในอนาคต สำหรับวันนี้ทางคลินิก เราจะมาพูดถึงเรื่องของลักษณะของฟันที่มีความผิดปกติของเด็ก ที่ควรที่จะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาทำให้บุตรหลานของท่านได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และเพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เป็นแนวทางในการสังเกตลักษณะฟันของเด็กที่มีความผิดปกติ

เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น สำหรับลักษณะฟันของเด็กที่มีความผิดปกติที่ควรจะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก นั่นก็คือ ฟันแท้มีช่องห่าง อาจเกิดจากฟันมีขนาดเล็กผิดปกติ หรือเกิดฟันบางซี่หายไป ดังนั้น จึงควรนำบุตรหลานของท่าน เข้าตรวจกับทันตแพทย์ ต่อมาฟันบนครอบฟันล่างลึก ในส่วนของฟันสบลึกนั้น หากไม่ได้แก้ไขปัญหาดังกล่าว เมื่อเด็กโตขึ้น อาจมีผลต่อการสบฟัน การหายใจ รวมถึงปัญหาต่อข้อต่อขากรรไกรด้วย

ต่อมาลักษณะฟันล่างสบครอบฟันบน ที่เกิดจากการสบฟันที่ผิดปกติ ทำให้ขากรรไกรบนไม่สามารถเจริญเติบโตได้ตามปกติ เมื่อโตขึ้นจะมีขากรรไกรล่างยื่น และต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัดขากรรไกร ร่วมกับการจัดฟันในเด็ก ต่อมาฟันหลังล่าง สบคร่อมฟันบน ปัญหาในลักษณะนี้ สามารถแก้ไขได้โดยง่าย แต่หากปล่อยหรือละเลยไม่แก้ไข เด็กจะมีปัญหาการสบฟันและปัญหาฟันอย่างมากมายเลยทีเดียว และลักษณะฟันที่มักพบได้บ่อยอีกลักษณะหนึ่งก็คือ ฟันหน้าเหยิน ฟันยื่น ซึ่งเกิดจากการเจริญเติบโตของขากรรไกรที่ผิดปกติสามารถแก้ไขได้ด้วยการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก


อย่างไรก็ตาม หากปัญหาในเรื่องของลักษณะฟันที่มีความผิดปกติในเด็ก ได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว ด้วยการจัดฟันในเด็ก ก็จะทำให้สามารถรักษาให้เป็นปกติได้ ดังนั้น พ่อแม่ควรดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก เพื่อที่จะได้สังเกตอาการ เพื่อเข้ารับการแก้ไขทันที หากสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก ทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันในเด็ก เพื่อให้เด็กๆได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีความมั่นใจ สามารถยิ้มได้อย่างมั่นใจ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

13
มือถือ Vivo วีโว่ vivo X100 5G (12GB/256GB)
26,999 บาท

วีโว่ vivo X100 5G (12GB/256GB)
กล้อง ZEISS การถ่ายภาพระดับโปร สู่ยุคใหม่ของภาพถ่ายระดับสูง

กล้องหลัก VCS เฉดสีเที่ยงตรง คุณภาพการถ่ายภาพขั้นสูง มอบสีสันที่แท้จริง สะท้อนความมีชีวิตชีวา

ชิป vivo V2 ปลดล็อกทุกมิติใหม่แห่งขุมพลัง

Dimensity 9300 สถาปัตยกรรมแบบ CPU คอร์ใหญ่ทั้งหมด

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น                   วีโว่ vivo X100 5G (12GB/256GB)
   ราคากลาง                 26,999 บาท
   จำนวนซิม                  2 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์                 จอสัมผัส
   สี                            Black(Asteroid Black), Blue(Startrail Blue)
   ความถี่-เครือข่าย
2G
3G
4G
5G

   ขนาด-น้ำหนัก                     ยาว 164.05 x กว้าง 75.19 x หนา 8.49 มม., น้ำหนัก 206 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)     256 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด           -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ          ความจุแบตเตอรี่ 5,000 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ                             จอสัมผัส (AMOLED)
   ความละเอียด                       6.78 นิ้ว, 452 ppi, 1,260 x 2,800 px
   รายละเอียดอื่น
อัตรารีเฟรช สูงสุด 120 Hz
ความอิ่มตัวของสี 105% NTSC
วัสดุเปล่งแสง VM7
การสัมผัสหน้าจอ Capacitive multi-touch
ความสว่างสูงสุดเฉพาะส่วน 3000 nits
ขอบเขตสี 100% DCI-P3

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                   กล้องหลัง (50 Mpx), กล้องหน้า (32 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                                 -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)              Dimensity 9300 | 8 Cores
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)
   หน่วยความจำ (RAM)                  12.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก                  USB(Type-C, USB 2.0), Bluetooth(5.4), NFC, Wi-Fi(Wi-Fi 6, Wi-Fi 7, WLAN 2.4 GHz/5 GHz/6 GHz, Wi-Fi Display, 2 x 2 MIMO, MU-MIMO)
   ระบบรับส่งข้อความ                           -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต               3G, WiFi, 4G, 5G

14
หมอออนไลน์: เนื้องอกสมอง (Brain tumor)

เนื้องอกสมอง หมายถึง เนื้องอกที่เกิดขึ้นภายในกะโหลกศีรษะ ซึ่งสามารถเกิดจากเซลล์ได้ทุกชนิดที่มีอยู่ในเนื้อเยื่อทุกส่วนของกะโหลกศีรษะ เนื้องอกสมองจึงมีอยู่ร่วมร้อยชนิด ซึ่งมีชื่อเรียกตามชนิดของเซลล์

เนื้องอกสมองมีทั้งชนิดไม่ร้ายหรือเนื้องอกธรรมดา กับเนื้องอกชนิดร้ายหรือมะเร็ง และยังแบ่งเป็นชนิดปฐมภูมิ ซึ่งเกิดจากเซลล์หรือเนื้อเยื่อภายในกะโหลกศีรษะเอง (มีทั้งเนื้องอกธรรมดา และมะเร็ง) กับชนิดทุติยภูมิ ซึ่งเป็นมะเร็งที่แพร่กระจายมาจากนอกกะโหลกศีรษะ*

โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย ตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงผู้สูงอายุ กล่าวโดยรวมแล้ว โรคนี้พบได้บ่อยในกลุ่มอายุ 40-70 ปี ยิ่งอายุมากก็ยิ่งพบได้มาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเนื้องอกชนิดทุติยภูมิมากกว่าชนิดปฐมภูมิ

ส่วนในเด็กพบมากในกลุ่มอายุ 3-12 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเนื้องอกชนิดปฐมภูมิ และมักเป็นเนื้องอกธรรมดามากกว่ามะเร็ง เนื้องอกสมองที่พบในเด็กเป็นเนื้องอกที่พบได้มากที่สุดในบรรดาเนื้องอกที่พบในเด็ก

โรคนี้มักมีอาการปวดศีรษะเป็นสำคัญ พบว่าผู้ที่มีอาการปวดศีรษะ 100,000 คน มีสาเหตุจากเนื้องอกสมองประมาณ 10 คน

นอกจากปวดศีรษะแล้ว เนื้องอกสมองยังมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วยซึ่งมีได้หลากหลาย ตั้งแต่การรับรู้ การทำงานของร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และพฤติกรรม เนื่องมาจากเนื้องอกกดเบียดหรือทำลายเนื้อเยื่อสมอง เส้นประสาทสมอง และต่อมฮอร์โมนในสมองมีการหลั่งฮอร์โมนมากเกินหรือน้อยเกิน ทั้งนี้ ขึ้นกับขนาด ชนิด และตำแหน่งของเนื้องอก

*เนื้องอกสมอง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่

1. ชนิดปฐมภูมิ หมายถึง เนื้องอกที่มีต้นกำเนิดจากเซลล์หรือเนื้อเยื่อที่อยู่ภายในกะโหลกศีรษะ (เช่น กะโหลกศีรษะ เยื่อหุ้มสมอง เซลล์สมอง เส้นประสาทสมอง ต่อมใต้สมอง ต่อมไพเนียล หลอดเลือด เป็นต้น) มีชื่อเรียกตามชนิดของเซลล์  ซึ่งยังแบ่งเป็นชนิดไม่ร้าย หรือเนื้องอกธรรมดา (benign tumor เช่น meningioma, pituitary tumor, acoustic neuroma, craniopharyngioma) กับชนิดร้ายหรือมะเร็ง (malignant tumor/cancer เช่น  glioma ซึ่งมีหลายชนิดย่อย, medulloblastoma, pineoblastoma) เนื้องอกสมองที่พบในเด็กมักเป็นชนิดปฐมภูมิ และเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายมากกว่าชนิดร้าย

2. ชนิดทุติยภูมิ หมายถึง มะเร็งที่แพร่กระจายมาจากนอกกะโหลกศีรษะ ที่พบบ่อยได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งไต มะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา เนื้องอกสมองชนิดทุติยภูมิพบบ่อยในวัยกลางคนขึ้นไป บางครั้งผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการของเนื้องอกสมองมากกว่าอาการของมะเร็งที่เป็นต้นกำเนิด

สาเหตุ

เนื้องอกสมองชนิดปฐมภูมิ ยังไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไร พบว่าอาจมีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่

    ปัจจัยทางกรรมพันธุ์ พบว่ามีเนื้องอกสมองหลายชนิด ซึ่งผู้ป่วยจะมีประวัติว่ามีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นเนื้องอกสมองเช่นเดียวกันด้วย
    รังสี พบว่าเด็กที่รับรังสีจากการใช้รังสีในการตรวจวินิจฉัย หรือรังสีบำบัดที่บริเวณศีรษะ มีโอกาสเป็นเนื้องอกสมองเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่
    ความอ้วน พบว่าผู้ที่เป็นโรคอ้วนมีความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกเยื่อหุ้มสมอง (meningioma) มากกว่าปกติ

ส่วนเนื้องอกสมองชนิดทุติยภูมิ เกิดจากการแพร่กระจายของมะเร็งของอวัยวะที่อยู่นอกกะโหลก


อาการ

ในรายที่เนื้องอกมีขนาดเล็ก จะไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด ซึ่งอาจตรวจพบโดยบังเอิญจากการไปพบแพทย์ด้วยเรื่องอื่น

ในรายที่มีอาการ มักมีอาการปวดศีรษะเป็นสำคัญ โดยมีลักษณะเฉพาะคือ ในระยะแรกเริ่ม จะมีอาการปวดศีรษะเวลาตื่นนอนตอนเช้า พอสาย ๆ ค่อยยังชั่ว หรืออาจปวดมากเวลาล้มตัวลงนอน หรือเวลาไอ จาม หรือเบ่งอุจจาระ

อาการปวดศีรษะจะเป็นในแบบเดิมอยู่ทุกวัน ซึ่งจะค่อย ๆ รุนแรงขึ้นและนานขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ผู้ป่วยต้องสะดุ้งตื่นตอนกลางดึกหรือตอนเช้ามืด หรือมีอาการปวดศีรษะตลอดเวลา และอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนหรือกล้ามเนื้อชักกระตุก (มีลักษณะการชักทั้งตัว หรือเฉพาะที่แขนหรือขา หรือใบหน้ากระตุก) ร่วมด้วย 

ระยะต่อมา (เมื่อก้อนเนื้องอกโตขึ้น) จะมีอาการอาเจียนร่วมกับอาการปวดศีรษะ ซึ่งอาจมีลักษณะอาเจียนพุ่งรุนแรง

นอกจากนี้ยังอาจจะมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยก็ได้ ซึ่งเป็นอาการที่เกิดจากเนื้องอกไปกดเบียดถูกเนื้อเยื่อประสาทที่บริเวณใกล้เคียง ทำให้มีอาการต่าง ๆ ซึ่งขึ้นกับตำแหน่งของเนื้องอก อาทิ มีอาการตามัวลงเรื่อย ๆ เห็นภาพซ้อน ลานสายตาแคบ (มองไม่เห็นด้านข้าง ทำให้เดินหรือขับรถชนถูกวัตถุที่อยู่ด้านข้าง) หรือตามืดบอดอย่างฉับพลัน ตาเหล่ ตากระตุก หูอื้อหรือมีเสียงในหู หูตึงหรือได้ยินไม่ชัด บ้านหมุน เดินเซ สูญเสียการทรงตัว มือเท้าทำงานไม่ถนัด แขนขาชาหรืออ่อนแรง พูดอ้อแอ้ มีความยากลำบากในการพูดและการอ่าน มีอาการอ่อนเพลียมาก น้ำหนักลดหรือน้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ความคิดสับสน ขาดสมาธิ ความจำเสื่อม บุคลิกภาพหรือพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากเดิม มีภาวะวิตกกังวลหรือซึมเศร้า

ในรายที่เป็นเนื้องอกต่อมใต้สมอง (pituitary tumor) ซึ่งเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้าย นอกจากจะมีอาการดังกล่าวแล้ว ยังอาจมีภาวะผิดปกติที่เกิดจากต่อมใต้สมองหลั่งฮอร์โมนมากเกิน เช่น โรคคุชชิง (cushing’s syndrome/hypercortisolism) เบาจืด (diabetes insipidus/DI) รูปร่างสูงใหญ่ผิดปกติ (giantism หรือ acromegaly) หรือภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (hyperthyroidism) ถ้าพบในผู้หญิงอาจทำให้มีน้ำนมออกผิดธรรมชาติ (ไม่ได้เกิดในช่วงมีบุตร) ประจำเดือนไม่มา หรือมาไม่สม่ำเสมอ ในผู้ชายอาจมีอาการนมโต องคชาตไม่แข็งตัว หรือเป็นหมัน         

แต่ถ้าเนื้องอกต่อมใต้สมองมีขนาดใหญ่ ทำให้ต่อมนี้หลั่งฮอร์โมนน้อยเกิน อาจทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน รู้สึกขี้หนาว อ่อนเพลีย ประจำเดือนมาห่างหรือไม่มา เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ น้ำหนักลดหรือเพิ่มขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ


ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยไว้นาน ๆ ได้รับการรักษาช้าไป อาจทำให้ตาบอด หูหนวกอย่างถาวร เด็กที่เป็นเนื้องอกสมองชนิด craniopharyngioma ก็อาจมีการเจริญเติบโตช้า ตัวเล็กกว่าปกติ

นอกจากนี้ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง อาทิ

    มีเลือดออกเฉียบพลันในก้อนเนื้องอกสมอง ทำให้เกิดอาการแบบเดียวกับหลอดเลือดสมองแตก (ดู "โรคหลอดเลือดสมอง")
    เนื้องอกที่อยู่ใกล้โพรงสมอง อาจโตจนอุดกั้นทางเดินน้ำหล่อสมองไขสันหลัง (cerebrospinal fluid) เกิดภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง (มีอาการปวดศีรษะรุนแรง อาเจียน เดินเซ เป็นลม) และภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ (hydrocephalus)
    ถ้าหากความดันในกะโหลกศีรษะสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน ก็จะทำให้เกิดการเลื่อนไหลของสมอง ทำให้เกิดอาการแขนขาเป็นอัมพาต หมดสติ และอาจเสียชีวิตแบบกะทันหันได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากการซักถามอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และทำการตรวจร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางระบบประสาทและสมอง อาจตรวจพบอาการแขนขาชาหรืออ่อนแรง ความผิดปกติเกี่ยวกับการมองเห็น การได้ยิน การทรงตัว ความคิด อารมณ์ บุคลิกภาพ เป็นต้น

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจพิเศษ เช่น เอกซเรย์กะโหลกศีรษะ ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ตรวจเพตสแกน (PET scan) ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง ตรวจเลือดและปัสสาวะ (ดูการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนต่าง ๆ) ตรวจชิ้นเนื้อสมองเพื่อพิสูจน์ชนิดของเซลล์เนื้องอก


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะทำการรักษาด้วยการผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออกไป ยกเว้นเนื้องอกที่อยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ หรือเป็นมะเร็งที่ลุกลามมากแล้ว ก็อาจจะต้องรักษาด้วยวิธีอื่นแทน เช่น การผ่าตัดด้วยรังสี (radiosurgery) หรือมีดแกมมา (gamma knife)

ในรายที่เป็นมะเร็ง (เช่น medulloblastoma, malignant gliomas) อาจต้องรักษาด้วยรังสีบำบัด (ฉายรังสี) ซึ่งอาจใช้เดี่ยว ๆ หรือร่วมกับการผ่าตัด และบางกรณีอาจต้องรักษาด้วยเคมีบำบัด และ/หรือการใช้ยาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (targeted therapy drug)

ในรายที่มีภาวะอุดกั้นทางเดินน้ำหล่อสมองไขสันหลัง อาจต้องทำการผ่าตัดใส่ท่อระบายน้ำหล่อสมองไขสันหลัง (shunt operation)

ผลการรักษา ขึ้นกับชนิด ตำแหน่ง และขนาดของเนื้องอก อายุ และสภาพของผู้ป่วย

ถ้าเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายขนาดเล็กและอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เป็นอันตราย เช่น เนื้องอกประสาทหู เนื้องอกเยื่อหุ้มสมอง (meningioma) เป็นต้น การรักษาก็มักจะได้ผลดีหรือหายขาด

แต่ถ้าเป็นมะเร็งที่ลุกลามเร็ว (เช่น glioblastoma multiforme) หรือมะเร็งที่แพร่กระจายมาจากที่อื่นก็มักจะให้การรักษาแบบประทัง เพื่อลดความทุกข์ทรมาน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีชีวิตอยู่ได้ระยะหนึ่ง

หลังการรักษาด้วยการผ่าตัด ในบางรายอาจมีรอยแผลเป็นในสมอง ทำให้เกิดอาการชักแบบโรคลมชักได้ ซึ่งแพทย์จะให้ยากันชักกินควบคุมอาการ


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ปวดศีรษะเวลาตื่นนอนตอนเช้าและตอนสายทุเลาเอง เป็นประจำทุกวันนานเกิน 1 สัปดาห์ หรือมีอาการปวดศีรษะเรื้อรังร่วมกับอาการผิดปกติอื่น ๆ (เช่น ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน ลานสายตาแคบ ตาเหล่ ตากระตุก หูอื้อ บ้านหมุน เดินเซ มือเท้าทำงานไม่ถนัด แขนขาชาหรืออ่อนแรง ชัก อ่อนเพลียมาก ประจำเดือนผิดปกติ) ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นเนื้องอกสมอง ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

ควรป้องกันไม่ให้โรคลุกลาม โดยการไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ เมื่อสังเกตว่ามีอาการที่น่าสงสัย


ข้อแนะนำ

1. เนื้องอกสมองอาจพบในเด็กหรือคนอายุน้อยได้ ผู้ป่วยไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ถ้ามีอาการสงสัยว่าจะเป็นเนื้องอกสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีอาการปวดศีรษะรุนแรงและถี่ขึ้นทุกวัน หรือปวดตอนเช้ามืดทุกวันนานเกิน 1 สัปดาห์ หรือปวดศีรษะเรื้อรังเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ หรือมีอาการของโรคลมชักที่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในคนอายุมากกว่า 25 ปี หรือมีอาการผิดปกติทางระบบประสาทและสมอง บุคลิกภาพ พฤติกรรม และอารมณ์ ควรรีบไปพบแพทย์

2. ในปัจจุบันเนื้องอกสมองส่วนใหญ่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง บางคนเชื่อว่ารังสีไมโครเวฟ หรือคลื่นโทรศัพท์ อาจทำให้เป็นเนื้องอกสมอง ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้แต่อย่างใด

3. โรคนี้บางครั้งมีอาการปวดศีรษะและคลื่นไส้อาเจียนตอนเช้า ๆ หากผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์มีอาการดังกล่าวและมีอาการขาดประจำเดือนร่วมด้วย อาจทำให้เข้าใจว่าเป็นอาการแพ้ท้อง ควรทำการตรวจปัสสาวะทดสอบการตั้งครรภ์ หากมีผลเป็นลบ และอาการดังกล่าวยังไม่ทุเลา ก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัดแต่เนิ่น ๆ

4. หากตรวจพบว่าเป็นเนื้องอกสมองชนิดไม่ร้าย การได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ มักหายขาดได้เป็นปกติ แต่ถ้าหากตรวจพบว่าเป็นเนื้องอกสมองชนิดร้าย (มะเร็ง) ก็ควรทำการรักษาและปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ และเรียนรู้วิธีดูแลตนเองให้ดี (ดูเพิ่มเติมในหัวข้อ "การดูแลตนเอง" ในโรคมะเร็ง)

15
ท่อปรับอากาศโรงงาน ทำไมต้องการฉนวนกันความร้อน

โรงงานไหนมีเครื่องจักรทำความร้อนสูง มีกระบวนการผลิตที่ทำให้เกิดความร้อนสะสมมาก ๆ ภายใน ก็ไม่แปลกเลยที่จะต้องติดตั้ง “ฉนวนกันความร้อน” เพื่อช่วยควบคุมอุณหภูมิไม่ให้สูงเกินไปจนเกิดผลเสียต่อการดำเนินธุรกิจ

แต่ทั้งนี้ จุดหนึ่งที่หลาย ๆ คนมองข้ามไปว่าก็ควรติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน เช่นกันก็คือ “ท่อปรับอากาศ” ซึ่งที่ไม่ได้มีใครนึกถึง เพราะอาจไม่เข้าใจว่าระบบท่อปรับอากาศทำไมถึงต้องติดตั้งฉนวนกันความร้อนด้วย ซึ่งเพื่อให้ทุกคนไม่พลาดที่จะให้ความสำคัญตรงจุดนี้ที่อาจทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงนั้น เราจะพาไปดูกันว่า ประโยชน์อะไรบ้างที่จะได้จากการติดตั้งฉนวนกันความร้อนบริเวณท่อปรับอากาศโรงงาน


1.ช่วยควบคุมการสูญเสียความร้อนและประหยัดพลังงาน

ระบบปรับอากาศภายในโรงงานนั้น แม้จะเป็นระบบที่ช่วยทำให้โรงงานเย็นสบาย มีบรรยากาศในการทำงานที่ดี แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่าตัวกลไกการทำงานก็ต้องใช้ความร้อนมหาศาลด้วย ซึ่งยิ่งโรงงานใหญ่มากแค่ไหน ก็ยิ่งต้องใช้พลังงานความร้อน มีการระบายความร้อนออกมาเป็นจำนวนมากเท่านั้น

ซึ่งการติดตั้งฉนวนหุ่มท่อ หรือบุท่อภายในระบบปรับอากาศ จะมีส่วนสำคัญในการช่วยควบคุมการสูญเสียพลังงานที่มากเกินความจำเป็น ทำให้ไม่ปล่อยความร้อนออกมาสะสมมากขึ้นจนกลายเป็นทำให้สิ้นเปลืองพลังงาน ซึ่งเท่ากับว่าจะช่วยประหยัดพลังงานประหยัดค่าไฟได้อย่างมหาศาลนั่นเอง


2.ป้องกันการควบแน่นที่ทำให้เกิดความเสียหาย

ถ้าเรายังจำกันได้ดีว่าเมื่อความร้อนกระทบกับความเย็น สิ่งที่เกิดขึ้นคือเกิดการควบแน่นกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำได้ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวนี้เกิดได้อย่างแน่นอนในระบบท่อปรับอากาศโรงงาน ซึ่งผลที่ตามมานั้นเลวร้ายกว่าที่หลายคนคิดมาก นั่นก็คือ ท่อระบบปรับอากาศของเราจะเป็นสนิม มีเชื้อรา และเชื้อโรคอื่น ๆ สะสมเกาะกินอยู่ ซึ่งลำพังความเสียงหายที่เกิดขึ้นกับท่อปรับอากาศก็หนักแล้ว แต่ที่หนักกว่านั้นก็คือ อากาศที่ปล่อยเข้าไปสู่ภายในพื้นที่จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ

ดังนั้น การติดตั้งฉนวนกันความร้อนหุ้มท่อปรับอากาศจึงสำคัญมาก เพราะจะช่วยป้องกันการควบแน่นกลั่นตัวเป็นหยดน้ำได้ดี ทำให้ท่อไม่เป็นสนิม ไม่มีเชื้อราขึ้น ยืดอายุการใช้งานของท่อปรับอากาศและปกป้องชีวิตของผู้คนภายในอาคารให้ปลอดภัยได้มากขึ้นด้วยในทุกครั้งที่หายใจ


3.ป้องกันเสียงดังรบกวนสร้างความสงบภายในพื้นที่

แค่เปิดแอร์ที่บ้านตัวเดียว เครื่องเล็ก ๆ เสียงจากเครื่องปรับอากาศยังดังรบกวนจนหลาย ๆ คนปวดหัวนอนไม่หลับอยู่ไม่มีความสุข แล้วนับประสาอะไรกับระบบปรับอากาศโรงงานที่มีกำลังในการทำงานมากกว่าแอร์บ้านหลายร้อยหลายพันเท่า แน่นอนว่าจะมีเสียงดังจากท่อระบบปรับอากาศออกมารบกวนภายในโรงงานอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้เอง การติดตั้งฉนวนกันความร้อนสำหรับท่อระบบปรับอากาศจึงไม่ได้ช่วยแค่เรื่องการกันความร้อนสะสมการประหยัดพลังงาน แต่ยังช่วยป้องกันเสียงดังได้ด้วย กลายเป็นสร้างบรรยากาศการทำงานภายในโรงงานให้สงบเงียบได้มากขึ้น ซึ่งเรื่องของเสียงดังนั้น ยังมีข้อกฎหมายกำหนดไว้ด้วยว่าห้ามดังเกินเท่าไร หากเสียงดังเกินมากไปก็จะมีโทษ การติดตั้งฉนวนหุ้มท่อจึงเหมือนให้เราแก้ปัญหาได้ทั้ง 2 ต่อ คือทั้งเรื่องความร้อนสะสมและเรื่องเสียงดังรบกวนไปพร้อม ๆ กัน

ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่แค่เฉพาะกับโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล หรือสำนักงานต่าง ๆ ที่มีท่อระบบปรับอากาศขนาดใหญ่ ก็ควรที่จะต้องติดฉนวนกันความร้อนด้วยกันทั้งสิ้น เพื่อประโยชน์ในเรื่องการประหยัดพลังงาน และการสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบ และอากาศบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นภายในพื้นที่

โดยปัจจุบัน ฉนวนกันความร้อนถือว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ตอบโจทย์ของผู้ประกอบการทั่วประเทศ ด้วยเป็นฉนวนใยแก้วที่กันความร้อนได้ดี กันเสียงได้เยี่ยม กันการควบแน่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรม และมาตรฐานสากล ASTM จึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพหลังการติดตั้ง

หน้า: [1] 2 3 ... 27