ผู้เขียน หัวข้อ: โรคเบาหวานเรื่องไม่หวานที่ควรรู้  (อ่าน 2 ครั้ง)

siritidaphon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 543
  • ขายออนไลน์ ใหม่-มือสอง โปรโมทสินค้า บ้าน รถ สัตว์เลี้ยง พระเครื่อง ท่องเที่ยว เครื่องสำอาง เสื้อผ้า กล้อง เว็บสมัครงาน, ลงประกาศฟรี ลงโฆษณาฟรี
    • ดูรายละเอียด
โรคเบาหวานเรื่องไม่หวานที่ควรรู้
« เมื่อ: วันที่ 25 ตุลาคม 2025, 13:59:23 น. »
โรคเบาหวานเรื่องไม่หวานที่ควรรู้

โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติเรื้อรัง เป็นโรคที่ไม่ "หวาน" อย่างชื่อ เพราะนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงมากมาย หากไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม นี่คือเรื่องสำคัญเกี่ยวกับโรคเบาหวานที่คุณควรรู้:


1. โรคเบาหวานคืออะไร?

โรคเบาหวาน คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับ น้ำตาลกลูโคสในเลือดสูง อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความผิดปกติของ ฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ที่ผลิตจากตับอ่อน ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อินซูลินคือ "กุญแจ": อินซูลินทำหน้าที่เป็นกุญแจนำน้ำตาล (กลูโคส) จากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ต่างๆ เพื่อใช้เป็นพลังงาน

เบาหวานเกิดขึ้นเมื่อ:

ตับอ่อนผลิตอินซูลินได้ ไม่เพียงพอ (เหมือนกุญแจมีน้อย) หรือ

เซลล์ร่างกายเกิด ภาวะดื้อต่ออินซูลิน (เหมือนกุญแจมี แต่ไขประตูเข้าบ้านไม่ได้)


2. เบาหวานมีกี่ชนิด?

โรคเบาหวานหลัก ๆ แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ:

ชนิดของเบาหวาน                       สาเหตุหลัก                                                การรักษาหลัก

ชนิดที่ 1     ภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ที่ผลิตอินซูลินในตับอ่อน มักพบในเด็กและวัยรุ่น   จำเป็นต้องฉีดอินซูลิน ทุกวัน

ชนิดที่ 2     ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ร่วมกับตับอ่อนผลิตอินซูลินได้ลดลง (พบมากที่สุด)   ควบคุมอาหาร, ออกกำลังกาย, ใช้ยาเม็ด, อาจต้องฉีดอินซูลิน
เบาหวานขณะตั้งครรภ์  เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ และมักหายไปหลังคลอดบุตร แต่มีความเสี่ยงเป็นชนิดที่ 2 ในอนาคต   ควบคุมอาหารและยา


3. อาการที่ควรสังเกต (สัญญาณเตือน)

หลายคนอาจไม่มีอาการในระยะแรก แต่เมื่อระดับน้ำตาลสูงขึ้นเรื่อยๆ จะเริ่มมีอาการที่เรียกว่า "ปัสสาวะมาก-กระหายน้ำมาก-กินจุ-น้ำหนักลด"

ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ: โดยเฉพาะตอนกลางคืน

กระหายน้ำมาก: ดื่มน้ำมากเท่าไหร่ก็ยังรู้สึกคอแห้ง

กินเก่งแต่ผอมลง: กินอาหารมากขึ้นแต่น้ำหนักลดลงผิดปกติ

อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย

ตาพร่ามัว: มองเห็นไม่ชัด

ชาปลายมือปลายเท้า: อาจมีอาการแสบร้อนหรือปวดร่วมด้วย

แผลหายช้ากว่าปกติ: เพราะน้ำตาลสูงส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียนโลหิตและการทำงานของเม็ดเลือดขาว


4. ภาวะแทรกซ้อนที่ "ไม่หวาน"

การปล่อยให้น้ำตาลในเลือดสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำลายเส้นเลือดและเส้นประสาททั่วร่างกาย นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนถาวร:

เบาหวานขึ้นจอประสาทตา (ตาบอด): ทำลายเส้นเลือดในดวงตา อาจทำให้ตาบอดได้

เบาหวานลงไต (ไตวาย): ทำลายหน่วยไต จนต้องฟอกไต

ปลายประสาทเสื่อม: ทำให้ชา, ปวดแสบปวดร้อน, และเท้าเป็นแผลหายยาก (นำไปสู่การถูกตัดขาได้)

โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง: เพิ่มความเสี่ยงของภาวะหัวใจขาดเลือดและอัมพฤกษ์อัมพาต


5. สิ่งสำคัญที่สุดในการควบคุมโรค

แม้เบาหวานส่วนใหญ่จะรักษาไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมให้อยู่ในภาวะสงบได้ด้วย วินัย

อาหาร: ควบคุมปริมาณแป้ง/คาร์โบไฮเดรต, เลือกธัญพืชไม่ขัดสี, เลี่ยงหวานจัด มันจัด เค็มจัด

กิจกรรม: ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน

ยา: รับประทานยา/ฉีดอินซูลินตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด

การตรวจสุขภาพ: พบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจน้ำตาลสะสม (HbA1c) และตรวจคัดกรองภาวะแทรกซ้อน (ตา, ไต, เท้า) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง